วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บทความพิเศษ.........“ บอกลาปีชวด-หนู ต้อนรับปีฉลู-วัวนำโชค 2552 ”

ในโลกนี้นั้นไม่มีอะไรจะอยู่ยั่งยืนยงค้ำฟ้า แม้นหลักศิลาที่ว่าแกร่งโดนหนึ่งหยดน้ำถาโถมเข้าใส่ สักวันก็ย่อมแตกและแหลกสลายประหนึ่งเสี้ยวแห่งกาลเวลาที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับเหลือเพียงความทรงจำฝากให้ระลึกไว้ ณ ห้วงเวลาหนึ่ง ปีชวด-หนูที่แสนวายวุ่นด้วยเรื่องราวต่างๆของปี พ.ศ. 2551 กำลังเดินย่างเหมือนรถไฟที่เตรียมเทียบท่าเข้าสู่เรือนสถานีสุดท้ายฉันใด ความทรงจำที่ดี หรือไม่ดีเราก็คงต้องจำจด หรือละทิ้งเพื่อเตรียมต้อนรับปีใหม่ที่จะเดินย่างเข้ามาให้เราสัมผัสกันในไม่ช้า “ฉลู-วัวนำโชค 2552” (รึเปล่า?)

ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี พ.ศ. 2542 หน้า 1062 ได้อธิบายความหมายของคำว่า “วัว” เอาไว้ว่า “วัว น. ชื่อสัตว์เคี้ยวเอื้องชนิด bos Taurus ในวงศ์ bovidae เป็นสัตว์กีบคู่ ลำตัวมีสีต่างๆ เช่น น้ำตาลนวล เขาโค้งสั้น มีเหนียงห้อยอยู่ใต้คอถึงอก ขนปลายหางเป็นพู่ บ้างก็เรียกว่า โค”

นอกจากนี้ยังมีคำโบราณ รวมถึงสำนวนของไทยที่บอกเล่าลักษณะนิสัยของคนประเภทต่างๆ โดยเชื่อมโยง หรือเปรียบกับวัว เช่นคำว่า
“วัวเขาเกก” หมายถึง คนประเภทเป็นอันธพาล เป็นนักเลงหัวไม้ ชอบเกะกะเกเร “ วัวลืมตีน” หมายถึง คนที่ไปได้ดิบได้ดี และกลับลืมสถานะเดิมของตน
“ วัวสันหลังหวะ” หมายถึง คนที่มีความผิดติดตัว แล้วจึงต้องคอยระแวดระวังหรือหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าใครจะมาคิดร้ายต่อตน
“วัวหายล้อมคอก” หมายถึง เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วจึงคิดที่จะป้องกัน

สำนวนโบราณของไทยเราที่เกี่ยวข้องกับวัวในแบบยาวๆก็มีนะครับ เช่นคำว่า “แม่สื่อแม่ชักไม่ได้เจ้าตัว เอาวัวพันหลัก” ซึ่งหมายถึง ประมาณชายหนุ่มที่ใช้ให้แม่สื่อไปติดต่อกับหญิงสาวที่ตนแอบชอบอยู่แต่ไม่ได้ตัวหญิงสาวนั้นมาเป็นภรรยา เลยเอาแม่สื่อมาทำภรรยาแทน เป็นต้น

ในกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ของ กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ท่านได้แต่งบทกลอนเกี่ยวกับโค คุณลักษณะ และคุณความดีแห่งการเกิดเป็นคนเอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่งว่า

พฤษภกาสร
อีกกุญชรอันปลดปลง
โทนนต์เสน่งคง
สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย
มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี
ประดับไว้ในโลกา.....”

แปลแบบง่ายๆ คือ วัว-ควาย เมื่อตายจากไปแล้ว มันยังเหลือเขา เหลือหนังอันสง่าเอาไว้ มนุษย์เมื่อตายหรือสิ้นบุญลาลับจากโลกไปแล้วคงเหลือแต่คุณความดีให้คนรุ่นหลังได้ระลึก

ในเมืองไทยเองมีความเชื่อรวมถึงพิธีกรรมเกี่ยวกับวัว หรือโค อยู่เป็นอันมาก เช่น พิธีแรกนาขวัญ ซึ่งจะมีพระราชพิธีใหญ่โตจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีการเสี่ยงทายอาหารที่พระโคเลือกด้วยว่าการเกษตรกรรมของประเทศจะเป็นไปในทิศทางใด พิธีกรรมดังกล่าวนี้ล้วนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรอันถือเป็นกระดูกสันหลังของชาติได้มีกำลังทั้งกาย-ใจ สร้างผลผลิตข้าวเลี้ยงดูชนในชาติอย่างไม่ขัดสนในภายภาคหน้า จึงจัดได้ว่าพิธีกรรม หรือความเชื่อเกี่ยวกับวัวในประเทศไทยนั้นล้วนแฝงไปด้วยนัยหลายหลากประการ อันค้ำให้เกิดสมดุลแก่ทั้งคน สัตว์ ธรรมชาติ เป็นอาทิ เนื่องด้วยเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับวัวนี้มีความสำคัญในพิธีกรรมหลายอย่างในไทย จึงไม่แปลกที่ตราประจำจังหวัดน่านจะใช้ตราเป็นรูปพญาวัวเป็นสัญลักษณ์ ผู้เขียนพยายามสืบค้นหาข้อมูลดูจึงพอทราบได้ว่า รูปสัญลักษณ์ประจำจังหวัดน่านนั้นเป็นรูปพญาโคเผือกที่ชื่อ “อศุภราช” แบกพระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองอยู่บนหลัง และเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีสัญลักษณ์ประจำจังหวัดเป็นรูปวัวเผือก หากพูดถึงโคอศุภราช หรือโคอุสุภราช ซึ่งหลายคนเรียกกันว่า “โคนนทิ” แล้ว ทำให้เข้าเค้าว่าตราประจำจังหวัดน่านอาจจะได้รับอิทธิพลทางศิลปะ และความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูไม่มากก็น้อย เพราะพญาโคอุสุภราช หรือนนทินี้เองล้วนเป็นข้าพระเป็นเจ้าแห่งองค์อิศวร หนึ่งใน “ตรีมูรติ ทั้ง 3” (ตรีมูรติ หมายถึง เทพสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบไปด้วย พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม)ตำนานเล่าถึงเรื่องราวของพญาโคนนทิ ว่า มารดาของพญาโคนนทิ คือนางโคสุรภี ซึ่งกำเนิดขึ้นมาในคราวกวนเกษียรสมุทร(กูรมาวตาร)ถึงนางโคสุรภีจะเป็นแม่โคสารพัดนึก คือพระอิศวรท่านต้องการอะไรนางโคก็จะเนรมิตให้ได้สมดั่งใจมุ่งหวังทุกประการ แต่ด้วยความชอบเป็นการส่วนพระองค์ที่ต้องการได้พญาโคเพศผู้สักตนหนึ่งมาเป็นเทพพาหนะ ท่านจึงขอให้พระกัศยปเทพประชาบดี หรือพระกัศยปเทพบิดร จำแลงกายเป็นพญาโคเพศผู้ร่วมสังวาสจนนางโคสุรภีตั้งท้องให้กำเนิดพญานนทิขึ้นมา จากนั้นพระอิศวรจึงให้พรแก่นนทิว่าขอให้เป็นเจ้าแห่งสัตว์จตุบาท(สัตว์สี่เท้า)แต่บัดนี้เป็นต้นไป แต่บางตำนานก็เล่าแตกต่างออกไปว่า เดิมทีโคนนทิเป็นบริวารของพระอิศวรอยู่แล้ว กล่าวคือ นนทิเป็นเทวดาในพระอิศวรเจ้า ทำหน้าที่เป็นเทพเสนาบดี ครั้งพระอิศวรทรงระบำ นนทิจะทำหน้าที่ตีตะโพน เมื่อพระอิศวรจะเสด็จไปยังสถานที่ใดพระนนทิ หรือเทพบุตรนนทิจะจำแลงกายเป็นโคหนุ่มให้พระองค์ประทับ เป็นต้น

นอกจากความเชื่อในเรื่องพญาโคนนทิเป็นโค ศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หรือการเอารูปโคนนทิไปเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดน่านแล้ว ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเทวะประจำวันศุกร์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับวัว หรือโค อย่างลึกซึ้ง กล่าวคือผู้นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทั้งในประเทศอินเดียและในประเทศไทยล้วนมีความเชื่อร่วมกันว่าเทพประจำวันศุกร์ คือพระศุกร์ นั้นท่านเป็นเทวะแห่งโค ทั้งหลายเนื่องด้วยเชื่อว่าพระศุกร์ท่านถูกสร้างขึ้นมาจากวัว และท่านก็ทรงวัวเป็นเทพพาหนะดังมีตำนานเล่าสืบทอดมาจากคัมภีร์เฉลิมไตรภพ

หรือพระอิศวรได้จัดสร้างพระศุกร์ขึ้นมาจากการนำวัวทั้ง 21 ตัว มาป่นให้แหลกละเอียด ใส่ประพรมด้วยของวิเศษนานับประการจนก่อกำเนิดเป็นพระศุกร์ขึ้นมา ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า พระศุกร์มีกำลัง 21 ตามจำนวนวัวทั้ง 21 ตัวที่ป่นสร้างขึ้นมาเป็นพระองค์ หากใครจะทำบุญเพราะตนเกิด หรือเชื่อในพระศุกร์จะต้องทำบุญตักบาตรพระ 21 รูป สวดมนต์คาถา 21 จบ บ้างก็ว่าควรบวงสรวงในพิธีด้วยการทำข้าวบิณฑ์ 21 ปั้นก็ว่า นอกจากเรื่องเกี่ยวกับวัวจะเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแล้ว ความเชื่อในพระพุทธศาสนาก็ล้วนปรากฏความเชื่อเกี่ยวข้องกับวัวอยู่เป็นอันมาก อาทิ ความเชื่อเรื่องแม่วัวเก็บไข่แม่กาขาวไปเลี้ยง ดังมีตำนานทางพระพุทธศาสนาเล่าไว้ว่า นานมาแล้วยังมีกาเผือก(กาขาว)ผัว-เมียคู่หนึ่ง ทำรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่ริมธารน้ำในป่าหิมพานต์ อยู่มาวันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหาอาหารไกลจากรังตนจนหาทางกลับมาไม่ถูก ทำให้นางกาต้องออกตามหาอยู่นานจนในที่สุดมีพายุร้ายพัดกระหน่ำจนนางกาสูญเสียไข่ทั้ง 5 ใบไปหมดสิ้น ณ เวลาต่อมาไข่ทั้ง 5 ใบที่โดนพายุซัดไหลไปตามลำธารสายหนึ่งมีแม่สัตว์ทั้ง 5 ชนิดเก็บเอาไข่ไปเลี้ยงดูฟูมฟักจนกลายเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ตามลำดับดังนี้

พระกุกกุสันโธ
แม่ไก่เก็บไปเลี้ยง
พระโกนาคมโน
แม่นาคเก็บไปเลี้ยง
พระมหากัสสโป
แม่เต่าเก็บไปเลี้ยง
พระโคตโม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
แม่วัวเก็บไปเลี้ยง
พระศรีอาริยเมตเตยโย(พระศรีอารย์)
แม่ราชสีห์เก็บไปเลี้ยง

จากตำนานทางพระพุทธศาสนาเรื่องนี้พอที่จะเห็นคติที่สอดแทรกไว้ในเนื้อเรื่องได้ว่า หากจิตใจสูงส่งก็ย่อมส่งผลสามารถฟูมฟักเลี้ยงดูสิ่งที่ดีงามให้ปรากฏออกมาได้เป็นดั่งที่แม่สัตว์ทั้ง 5 เก็บไข่แม่กาขาวได้จากริมแม่ลำธาร นำมาฟูมฟักเลี้ยงดูจนกลายเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ เป็นต้น ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับวัวอันสืบเนื่องเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนานี้เอง ยังมีเรื่อง “โคนันทวิสาล” อีกเรื่องหนึ่ง ที่จะขอนำมาบอกเล่าสู่กันฟัง ว่าในอดีตพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นวัว หรือโค เรียกชื่อว่า “นันทวิสาล” โดยมีพราหมณ์ผู้หนึ่งเลี้ยงเอาไว้แต่เล็กๆ จนครั้งนันทวิสาลเติบใหญ่เป็นโคถึกมีกายร่างกำยำแข็งแรง และเนื่องด้วยความที่พราหมณ์คนดังกล่าวเลี้ยงดูนันทวิสาลมาอย่างกับลูกในไส้ ให้ความรักความเอ็นดูเป็นยิ่งประจวบกับพราหมณ์เองมีฐานะยากจนมาก คิดได้ดังนั้นแล้วพญาโคจึงสงสารและบอกกับพราหมณ์ผู้เป็นนายว่าให้ไปท้าพนันกับโควินทเศรษฐี ว่ามีโคถึก กำลังมากมายสามารถลากเกวียนหินกรวดทราย 100 เกวียนได้ โดยให้ท้าเดิมพันในวงเงิน 1000 ตำลึง เพื่อท่านจะได้หลุดพ้นจากความยากจน พราหมณ์ก็ทำตาม ครั้งถึงวันพนันปรากฏว่าพราหมณ์ขึ้นไปขี่หลังพญาโคพร้อมดุด่าว่า “เจ้าโคนันทวิสาล เจ้าจอมเกรียจคร้าน ขอให้รีบฉุดลากเกวียนไปข้างหน้าแต่โดยไว” พญาโคได้ฟังก็รู้สึกไม่พอใจและยืนสงบนิ่งไม่ลากเกวียนแต่ประการใด โควินทเศรษฐีจึงชนะเดิมพันหนึ่งพันตำลึงในที่สุด ครั้งเสียทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากทำให้พราหมณ์โศกเศร้าเป็นยิ่ง ไม่กินไม่นอนอยู่หลายวัน โคนันทวิสาลก็รู้สึกสงสารอีกจึงเข้าไปปลอบและบอกให้พราหมณ์ไปท้าพนันกับโคนันทเศรษฐีใหม่ โดยคราวนี้ให้เพิ่มวงเงินเดิมพันเป็น 2000 ตำลึง แต่ท่านต้องไม่ดุด่าว่ากล่าวเราเหมือนเฉกเช่นวันก่อน ขอให้ท่านกล่าวชมเราแล้วเราจะช่วยให้ท่านชนะพนัน ครั้งถึงวันพนันพราหมณ์จึงพูดกับโคนันทวิสาลว่า “พ่อโคผู้เจริญ มีพละกำลังมาก ท่านจงฉุดเกวียนนี้ไปให้ถึงยังที่หมายด้วยเถอะ” โคนันทวิสาลเมื่อได้ยินถ้อยคำชมจึงเกิดกำลังใจกล้าหาญ สามารถฉุดลากเกวียนไปยังเส้นชัยได้ ทำให้พราหมณ์ชนะพนันได้เงินทั้ง 2000 ตำลึงเป็นของตนและมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม นิทานตำนานทางพระพุทธศาสนาเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การพูดดีเป็นศรีแก่ตัว หากพูดไม่ดีอาจจะเกิดผลร้ายแก่ตนก็เป็นได้ เป็นต้น

ในพุทธศาสนานิกายมหายาน หรือที่หลายคนเรียกว่า “ในวัดจีน” นั้นยังมีความเชื่อเกี่ยวกับวัวที่แปลกไปจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธศาสนานิกายหินยาน ในบางเรื่อง อาทิเช่น ในเรื่องของเทพปีศาจตนหนึ่งที่มีกายเป็นมนุษย์ แต่มีหัวเป็นวัว ที่ชาวจีนเรียกกันว่า “งู้เท้า” หรือ “หัววัว” อันเป็นบริวารของพญายม งู้เท้า(หัววัว)เป็นเพื่อนสนิทกับ เบ้หมิ่ง(หัวม้า) ทั้งสองทำหน้าที่เป็นมือเท้าให้กับพญายมของประเทศจีน(ถ้าในความเชื่อของประเทศไทย พญายมจะมีบริวารเป็นสุวาณ และสุวัณ)โดยเชื่อกันว่าหากใครสิ้นอายุในภพดังกล่าว หัววัว-หัวม้าจะมานำดวงวิญญาณไปพบท่านพญายมเพื่อตัดสินพิจารณาคดีและส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นไปยังสถานที่ๆควรจะไป เป็นต้น

อนึ่ง นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกตำนานหนึ่งของจีนเชื่อว่ายังมีเทพนักบัตรตนหนึ่ง มีหัวเป็นวัว มีกายเป็นมนุษย์ แต่งกายด้วยชุดนักปราชญ์ ทำหน้าที่เป็นเทพนักบัตรพิทักษ์สุสานในราชวงศ์กษัตริย์พระองค์ต่างๆในประเทศจีน โดยมากนิยมปั้นเป็นรูปปั้นไว้ในสุสาน โดยนิยมสร้างเค้าโครงของใบหน้าให้แลดูน่ากลัวเป็นพิเศษ ซึ่งเชื่อกันว่าเทพนักบัตรเหล่านี้เอง ที่มีการปั้นให้ใบหน้าดุเป็นพิเศษนั้น จะมีความน่าเกรงขาม มีพลังอำนาจลึกลับที่จะช่วยป้องปกและคุ้มครองสุสานมิให้พลังชั่วร้ายต่างๆเข้ามาจู่โจมได้ อ่านมาจนถึงตรงนี้ทำให้เราได้รับทราบถึงคติความเชื่อในเรื่องวัว ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พุทธศาสนานิกายหินยาน(ไทย) และพุทธศาสนานิกายมหายาน(จีน) ผู้เขียนจึงขอเพิ่มเรื่องของ “มิโนทอร์” (minotaur) และ “ไลแคนโธรปี” (lycanthropy) อันเป็นความเชื่อของชาวยุโรปตะวันตกเอาไว้ด้วยเพื่อความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นของบทความ กล่าวคือทั้งสองเรื่องนี้เป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่มของชาวยุโรปตะวันตกเกี่ยวกับวัว ที่ว่า “มิโนทอร์” (minotaur)นั้นเป็นวัวต้องคำสาป(บ้างก็ว่าวัวถูกเปรียบได้ดั่งสิ่งชั่วร้าย/เชื่อในบางกลุ่มชน)ดังมีตำนานเล่าขานเรื่องเกี่ยวกับวัวต้องคำสาปนามมิโนทอร์ เอาไว้ว่า ที่เมืองครีต อันเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในยุโรป ชายนาม “ไมนอส” ต้องการจะก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์จึงคิดการกระทำบูชาบวงสรวงเทพเจ้าแห่งท้องทะเลชื่อโปไซดอน(เทวะแห่งผืนน้ำ) บ้างก็ว่า Poseidon ด้วยการขอให้ท่านเทพส่งวัวเผือกขึ้นมาจากทะเลแล้วตนจะทำการบูชายัญพระองค์ในทันที ทันใดนั้นท่านเทพก็ช่วยส่งวัวเผือกสุดสวยดั่งผ้าไหมสีขาวขึ้นมาจากผืนน้ำ ไมนอสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์สมดั่งเจตนารมณ์ แต่เขาไม่ต้องการจะฆ่าวัวเผือกดังกล่าวทิ้งเพราะเสียดายในความงามของมัน เมื่อไม่ทำตามคำมั่นสัญญาณปรากฏว่าเทพเจ้าโกรธจัดและสาปให้ “ปาซิฟาอี”มเหสีของไมนอสเกิดป่วยเข้าขั้นวิปริตจนต้องร่วมสังวาสกับวัวเผือกตัวดังกล่าวจนเกิดบุตรชายออกมาตนหนึ่งชื่อ “มิโนทอร์” มีกายเป็นมนุษย์ แต่มีหัวเป็นวัวเพศผู้ขนาดใหญ่ ที่สำคัญมิโนทอร์กินเนื้อ และดื่มเลือดคนเป็นอาหาร ซึ่งทำให้เกิดความชั่วร้ายต่างๆนาๆตามมาสู่เมืองครีตเป็นอันมาก สอดคล้องกับความเชื่อในเรื่อง “ไลแคนโธรปี” (lycanthropy) ซึ่งเป็นความเชื่อในแถวยุโรปตะวันตกในหลายประเทศว่าไลแคนโธรปี หมายถึง มนุษย์แปลงร่างหรือกลายร่างเป็นสัตว์ อาทิ หมาป่า กระต่าย กระเข้ เสือ หรือแม้แต่วัว ซึ่งชาวยุโรปเชื่อกันว่าเป็นความชั่วร้ายด้วยคำสาปของพระเป็นเจ้า ความเชื่อเรื่องสัตว์โดยเฉพาะวัวของชาวยุโรปตะวันตกจึงดูเชื่อกันคนละทางกับแถวเอเซียอย่างน่าประหลาดใจ อนึ่ง ในเรื่องมนุษย์แปลงร่าง หรือมนุษย์กลายร่างนี้เองในประเทศไทยก็มีความเชื่อกัน อาทิ ความเชื่อเรื่องทวดในรูปสัตว์ เช่น เชื่อว่าพระที่เดินทางมาจากทางเหนือของประเทศไทยมาปักกลดลงในบริเวณวัดโลการาม บ้านสะทิ้งหม้อ ตำบลสะทิ้งหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ท่านกลายร่างเป็นงูจงอางขนาดใหญ่หลังท่านมรณภาพแล้ว เรียกกันว่า “ท่านทวดงูพ่อตาหลวงรอง” หรือตำนานความเชื่อในเรื่องทวดหัวเขาแดง จังหวัดสงขลา ที่เชื่อกันว่าท่านทวดหัวเขาแดงเป็นชายชราชาวจีน ท่านเสียชีวิตลงจากเหตุเรือสำเภาล่มที่ปากน้ำเมืองสงขลา ต่อมามีคนเห็นจระเข้ใหญ่เวียนว่ายไปมาเชื่อว่าคอยป้องปกปากน้ำเมืองสงขลาไว้ ชาวสงขลาส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าชายชราชาวจีนท่านนั้นได้กลายร่างเป็นจระเข้ทวด เรียกว่าทวดหัวเขาแดง ไปเสียแล้ว เป็นต้น

พูดถึงเรื่องวัวมอันน่ากลัวมา 2 เรื่องแล้วนึกขึ้นได้ว่าในห้องรับแขกที่บ้านของผู้เขียนยังมีตุ๊กตากระเบื้องตัวหนึ่งได้รับมาในวันขึ้นปีใหม่ปีก่อน ตั้งโชว์ไว้อย่างสวยหรู มันมีความเชื่อกันด้วยนะครับในเรื่องเครื่องประดับตกแต่งบ้านที่เป็นรูปวัว ในหนังสือชื่อ “ของตกแต่งบ้านบันดาลโชค” ของ “มงคล ไพศาลวาณิช” ปี พ.ศ. 2549 หน้า 68 ได้อธิบายเอาไว้ว่า “การตกแต่งบ้านด้วยตุ๊กตา หรือรูปปั้นจำลองรูปวัวจะช่วยส่งเสริมให้เกิดสิริมงคลต่อคนในบ้านได้เป็นอย่างดี เพราะวัวเป็นสัตว์นำความสำเร็จ เข้มแข็ง และมุ่งมั่น อดทนมาสู่คนในบ้าน ถ้าเป็นรูปปั้นวัวนม หมายถึง ความโชคดี และอุดมสมบูรณ์ ถ้าตกแต่งด้วยลูกวัวจะเป็นมงคลในทางสมหวังดั่งปรารถนาทุกประการ” เขียนมาจนถึงตรงนี้น้องที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆพูดแซวมาว่า “ยังไงก็ไม่ควรเลือกรูปปั้นวัวกระทิงนะ เพราะอาจสร้างความวุ่นวายให้คนในครอบครัวได้/บางคนเขาเชื่อกันน่ะครับ” ถ้าเรื่องวันกระทิงนี่เราคงต้องยกให้ประเทศสเปนเขา เพราะได้ชื่อว่าประเทศแห่งกระทิงดุ บ้างก็ว่าเป็นเมืองกระทิง เมืองมาทาดอร์(นักฆ่าวัวกระทิง)ก็ว่า ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะมีงานประเพณีของเมืองมาดริด(เมืองหลวงของประเทศสเปนอยู่งานหนึ่งที่จะมีการปล่อยวัวกะทิงออกมาให้ไล่ขวิดหนุ่มๆ(ผู้กล้าหาญ)ทั้งหลายที่ใจกล้า ใจถึงพร้อมออกวิ่งหนีวัวกระทิงกันอย่างสนุกสนาม ซึ่งบางปีก็มีคนตายในงานด้วย เชื่อกันว่าใครที่ได้เข้าร่วมงานประเพณีวิ่งวัวกระทิงดังกล่าวแล้วจะได้รับการยอมรับว่าเป็นชายชาตรีอย่างสมบูรณ์และได้รับความสนใจจากเพศตรงข้ามเป็นพิเศษ เขียนถึงเรื่องวัวเรื่องโคมาหลายเรื่องแล้วนึกถึงนิทานพื้นบ้านภาคใต้ได้เรื่องหนึ่งถึงที่มาของรูปลักษณะของวัวที่ว่าทำไมวัวถึงไม่มีขน(ความจริงมี แต่สั้นมากๆ) พอได้ความจากนิทานพื้นบ้านภาคใต้เรื่อง “นักเล่านิทาน” ว่าครั้งพระอิศวรสร้างโลกใหม่ๆ(ถ้าทางสายพราหมณ์-ฮินดูว่าพระพรหม เป็นผู้สร้าง)บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างทะเลาะกันอยู่นานเพื่อความเป็นใหญ่ในป่า สรรพสัตว์ทั้งหลายทะเลาะกันนานเข้าทุกวี่ทุกวันจนอยู่มาวันหนึ่งก็ได้รวมตัวกันออกเดินเท้าไปหาพระอิศวรเพื่อให้ท่านตัดสินว่าใครสมควรจะได้เป็นเจ้าป่าตัวจริง พระอิศวรท่านก็ว่าหากใครในหมู่สรรพสัตว์สามารถเข้าไปใกล้พระอาทิตย์ได้มากที่สุด ตนนั้นแหล่ะคือเจ้าป่า สิ้นเสียงพระเป็นเจ้าสัตว์ใหญ่น้อยทั้งหลายต่างกรูกันวิ่งเข้าหาพระอาทิตย์ วัวก็อยากเป็นเจ้าป่าแต่วิ่งเข้าไปหาพระอาทิตย์ได้เพียงระยะหนึ่งปรากฏว่าทั้งตัวถูกไฟของพระอาทิตย์แผดเผาเสียจนขนที่ขึ้นปกคลุมสวยงามมอดไหม้จนหมดสิ้น เหลือเพียงผิวหนังที่แดงก่ำอย่างเจ็บปวดทรมานไว้เพียงแค่นั้นดังปัจจุบัน ส่วนสัตว์ที่เข้าใกล้พระอาทิตย์ได้มากที่สุดคือ สิงโต สังเกตว่าสิงโตถูกแสงพระอาทิตย์ไหม้ขนไปเกือบทั้งตัว เหลือเพียงแผงคอเท่านั้นที่ยังไหม้ไม่หมด แผงคอของสิงโตจึงเปรียบเป็นดั่งเกียรติยศที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเลือกเป็นเจ้าป่าจากการประลองครั้งนั้นนั่นเอง(ความเชื่อชาวใต้)

ถึงวัวจะถูกแสงระอาทิตย์สาดส่องจนไรขนมอดไหม้ไปเกือบหมดสิ้น และพ่ายแพ้ในการประลองคราวนั้น แต่วัวในหลายพื้นที่ก็ยังถูกเปรียบเป็นดั่งนักสู้ประจำถิ่น อาทิ วัวที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และสงขลาซึ่งนิยมจัดมาแข่งขันเป็นกีฬาวัวชนกันอย่างกว้างขวาง โดยวัวที่จะจัดเป็น “วัวชน” นั้นจะต้องมีรูปร่างสง่างาม มีเขาที่แหลมคม มีโหนกใหญ่ หาง กีบเท้า ใบหู ตา ฟัน สีขน และเสียงร้องต้องถูกต้องตามตำรานิยมในท้องถิ่นนั้นๆ สนามวัวชนหรือที่เรียกกันว่า “บ่อนวัว” หรือ “บ่อนงัว” นี้เองที่ทางจังหวัดสงขลามีอยู่อย่างกระจายในหลายอำเภอ เช่น1.สนามบ้านขุนทอง อำภอจะนะ2.สนามบ้านน้ำกระจาย อำเภอเมือง3.สนามไชย อำเภอสทิงพระ เป็นต้น

นอกจากวัวชนจะเป็นกีฬาพื้นบ้านภาคใต้ที่เป็นที่นิยมกันอย่างมากแล้ว สัญลักษณ์รูปวัวชนยังปรากฏเป็นตราสโมสรทีมฟุตบอลชายจังหวัดสงขลาในระดับดิวิชั่น 1 อีกด้วย ถามไถ่ถึงที่มาที่ไปของตราสัญลักษณ์ดังกล่าวพอได้ความว่าเพราะวัวชนเป็นสัตว์นักสู้ที่เมื่อลงสู่สนามแล้วมันจะสู้ไม่ถอย สู้ตายถวายชีวิต จึงเกิดไอเดียนำเอารูปวันชนมาทำเป็นสัญลักษณ์ หรือตราสโมสรฟุตบอลชายจังหวัดสงขลาขึ้น อนึ่ง พูดถึงเรื่องวัวชนวัวนักสู้ของจังหวัดสงขลาแล้วทำให้ผู้เขียนนึกถึงเรื่องวัวในความเชื่อของชาวใต้ได้อีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องของ “วัวธนู” ซึ่งคงจะมีกันแทบทุกภาค ทางภาคใต้เชื่อกันว่าวัวธนูนั้นเป็นคติความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ บ้างก็ว่าเป็น “ไสยดำ” หรืออวิชาอีกรูปแบบหนึ่ง หลายคนฝึกเพื่อปราบอริศัตรู หลายคนว่าเรียนเพื่อให้วัวธนูเฝ้าดูแลบ้าน ส่วนกรรมวิธีการสร้างวัวธนู(บางที่ใช้ ควายธนู)ตามที่ผู้เขียนเคยเดินทางไปเก็บข้อมูลตามสถานที่ต่างๆ อาทิ ในประเทศเขมร ทางอีสานใต้ ภาคเหนือ ภาคใต้ รวมถึงในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ล้วนเชื่อกันว่าก่อนอื่นจะต้องมีรูปปั้นวัวธนูจากดินศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน(ในหาดใหญ่นิยมนำดินศักดิ์สิทธิ์มาจากควนดินดำ/ให้ข้อมูล : พ่อท่านแก้ว/เจ้าอาวาสวัดคลองเรียน)หลังจากที่ได้รูปปั้นวัวธนูแล้วจึงลงคาถาบังคับวัวธนู และนำน้ำมาทำเป็นน้ำมนต์ด้วยคาถาบางตัว(ขอไม่อธิบาย) นำน้ำมนต์ที่ได้จากการสวดมาทำการรดลงสู่หลังของวัวธนูพร้อมบริกรรมคาถาควบคุมกำกับวัวธนู จากนั้นจึงนำน้ำมนต์ที่ได้จากการรดหลังวัวธนูตนดังกล่าวไปประพรมให้รอบๆตัวบ้าน หรือรอบๆกำแพงบ้านวันละครั้ง เชื่อว่าวัวธนูจะปกป้องบ้านของผู้เป็นเจ้าของประหนึ่งสุนัขล่าเนื้อที่ซื่อสัตย์ได้ เป็นต้น เรื่องเกี่ยวกับวัว ในความเชื่อของทางภาคใต้ยังมีอีกมากผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังในคราวหน้าหากบทความชิ้นนี้ได้กล่าวหรือล่วงเกินผู้หนึ่งผู้ใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=2493.0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น