วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วัฒนธรรมเปลือยกาย








ว่าด้วยเรื่องราวของการแต่งกายในสมัยก่อนจริงๆ แล้วแต่ก่อนนั้นใครจะแต่งตัวยังไง ก้อไม่มีใครห้ามหญิงชายสมัยก่อนก้อเลยค่อนข้างจะ Free Style ค่ะ
ผู้ชายจะนุ่งผ้าหยักรั้ง หรือโสร่ง ก้อว่ากันไปแต่ 99% นั้นไม่นิยมสวมเสื้อ ไม่ว่าจะนอกบ้านหรือในบ้านก้อตาม


ส่วนผู้หญิง.. ก้อเช่นเดียวกันแหละค่ะถ้าไม่ใส่ผ้าคาดอก หรืออะไรก้อแล้วแต่ที่ปกปิดส่วนบนก้อจะไม่ใส่อะไรเลย.. แบบนี้

แต่ก้อยกเว้นก้อพวกสาวๆ วัยรุ่น ที่ยังไม่มีครอบครัวนะคะเพราะถ้าไม่ใส่อะไรส่วนบน ดูจะเปิดเผยกับหนุ่มๆไปเดี๋ยวจะไม่มีอะไรให้ค้นหาซะฉิบ
เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมเปลือยกายท่อนบนนี่ก้อป๊อปในหมู่ชายสยามทุกคน และหญิงสยามที่มีครอบครัวแล้วเท่านั้นแต่ก้อยังสาวๆอยู่นะคะนั่น.. คิดดูสมัยก่อนเค้ามีครอบครัวกันตอนอายุกี่ปีเอง
ที่เป็นอย่างนั้นก้อเพราะว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อนไงคะถ้าสวมเสื้อก้อจะทำให้ร้อนขึ้นไปอีกก้อเลยไม่นิยมสวมเสื้อกัน
แต่พออารยธรรมของฝรั่งมังค่าเข้ามาในสยามร.4 จึงทรงโปรดให้สวมเสื้อเข้าเฝ้าและครั้งนั้นแหละ เป็นการปฏิวัติการแต่งกายครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
พอมาถึงสมัย ร.5 พระองค์ทรงออกกฎเลยว่าไม่ใช่แค่จะใส่เสื้อเวลาเข้าเฝ้าอย่างเดียวแต่รวมถึงเวลาที่ชาวสยามออกไปนอกบ้านด้วยค่ะวันนี้แนนแอบอิงประกาศฉบับนั้นมาด้วย.. มันมีใจความเป็นต้นว่าอย่างนี้..
"คำว่าแต่งกายไม่สมควรในที่นี้ คือผู้ใหญ่ทั้งชายแลหญิงสรวมแต่เสื้อชั้นในฤๅไม่ได้สรวมเสื้อเลย สุดแต่ไม่มีเสื้อที่ควรเป็นเสื้อชั้นนอกได้อย่าง ๑นุ่งกางเกงขาสั้นเหนือเข่าขึ้นมา ฤๅนุ่งโสร่งเป็นต้นอย่าง ๑ สรวมรองเท้าไม่มีถุงเท้า ฤๅสลิปเปอเปนต้นอย่าง ๑"
ซึ่งถ้าใครไม่ปฏิบัติตามล่ะก้อ.. โดนปรับไม่เกินคราวละ 10 บาทเลยทีเดียวส่วนเด็กอายุ 15 ปีลงมา ผู้ปกครองต้องรับโทษแทน10 บาทสมัยนั้นนี่ไม่ใช่ขี้ๆเลยนะคะคิดดูว่าตอนนั้นข้าวสารถังละ 3 บาทแล้วล่ะ
พอออกประกาศเสร็จแล้ว ก้อถือว่าเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เคร่งครัดกันมากมาจนถึงทุกวันนี้..
ว่าด้วยเรื่องของแฟชั่น.. เค้าบอกว่ามันวนไปวนมาไม่ว่าจะรุ่นไหนๆอย่างเกาะอกมันมีมาเนิ่นนาน ยังมาบูมได้ในสมัยนี้เลย..แล้วเรื่องเปลือยอกล่ะ?? ว่าไปนู่นแล้ว 555เอ้าแต่ก้อไม่แน่นะ โลกร้อนขึ้นแบบนี้ใครสนใจจะนำแฟชั่นแบบเดิมๆมั่งฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น