วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

จังหวะดีๆ เพื่อลีลาแห่ง (คน) รัก


หลายคนบอกว่าเซ็กซ์ที่ดี เสริมสร้างชีวิตคู่ให้ราบรื่น ลีลาดีก็เสริมเซ็กซ์ให้สุขสม แต่รายละเอียดบางอย่างที่คุณมองข้ามไปก็ช่วยสร้างเสน่ห์



ให ้ลีลาของเซ็กซ์ให้คุณได้ ซึ่งก็คือ จังหวะในการเคลื่อนไหวของคุณทั้งสองนั่นเอง คู่แต่งงานบางคู่ที่คิดว่าตัวเองมีเซ็กซ์ที่ลีลาเด็ด แพรวพรายแล้วแต่แฟนสาวก็ยังไม่รู้สึกรู้สาว่าจะแตะขอบสวรรค์ซะที หากเพราะผู้ชายไม่รู้จักท่วงท่าจังหวะในการขยับ


แม้คุณจะไม่กล้าใช้ท่วงท่าในเกมรักของคุณ อย่างน้อยก็ลองกำหนดจังหวะในการเข้าออกของคุณดูบ้าง คงทำให้แฟนสาวของคุณแทบคลั่งเลยทีเดียว คุณควรรู้ว่าเมื่อใดควรจะหยุด หรือเมื่อใดควรจะขยับเร็ว ช้า


เริ่มสตาร์ทเครื่อง

คงไม่ดีแน่ถ้าคุณจะจุดไฟด้วยการกระหน่ำ เข้าเกียร์สูงทันที โดยที่แฟนสาวคุณยังไม่พร้อม ลองใช้จังหวะช้าๆ กับขั้นตอนนี้ดู จะช่วยเพิ่มแรงปรารถนาให้ผู้หญิงได้มากทีเดียว


หยุดพักเครื่องกันบ้าง

หากเครื่องสตาร์ทไปได้ซักพัก คุณควรจะหยุดเพื่อยั่วเย้าคนรักของคุณอีก เพราะตอนที่คุณเคลื่อนไหวช่วงสั้นๆ เพื่อความปรารถนาให้แฟนสาวแล้วคุณหยุดกึก คงสร้างความโหยหาให้เธอไม่น้อย แต่ควรระวังนิดนึงสำหรับท่านชาย เมื่อหยุดแล้วส่วนสำคัญอาจจะหยุดทำงานไปด้วย หากคุณอยู่ในช่วงฟื้นไข้ หรือร่างกายไม่แข็งแรง งานนี้ก็ตัวใครตัวมันละกันนะจ๊ะ


เพิ่มความเร็ว- ช้า ให้จังหวะของคุณ

แน่นอนว่าผู้ชายมือใหม่ยังไม่ค่อยรู้จังหวะ จะโคนดีนักหากเทียบกับผู้ชายที่ประสบการณ์โชคโชน ดังนั้นพึงทราบว่าความสำคัญของจังหวะการเคลื่อนไหว มันจะทำให้คุณและคู่ของคุณเกิดความพึงพอใจ ถ้าคุณรู้จังหวะการผ่อนหนักผ่อนเบา โดยการสังเกตการแสดงออกของฝ่ายหญิง ถ้าเธออารมณ์เธอกระเจิงใกล้แตะเส้นชัยก็ต้องเพิ่มความเร็ว ของคุณ แต่ถ้ายังอยู่ในช่วงวอร์มอัพ คุณจะเปลี่ยนจากช้า เป็นเร็ว หรือเร็วเป็นช้าก็ได้ไม่ว่ากัน เพราะมันคงเพิ่มความเร้าใจให้ฝ่ายผู้หญิงได้ไม่น้อย


หามุมเด็ดกระทบใจเธอ

ตอนนี้มุมไหนก็ไม่สำคัญเท่ามุมแห่งการเคลื่อนไหวของเจ้าน ้องชายคุณแล้วล่ะ เพราะการเคลื่อนไหวด้วยมุมที่แตกต่างนี่แหละ เป็นสิ่งที่สร้างความพึงพอใจให้สาวเจ้าได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวให้ผ่านจุด G-spot ด้วยการลองเปลี่ยนมุมตกกระทบให้ชันขึ้นกว่าเดิม โดยการสอดเจ้าน้องชายตัวเก่งของคุณจนเกือบจะเป็นมุมฉากกับ แนวระนาบ ลองสังเกตดูสาวหน้าใสใต้ร่างคุณหากของคุณเสียดสีตรงกับ จุดนั้นของเธอพอดี เธอแสดงอาการแบบสุขสุดๆเลยแหล่ะ


และถ้าต้องการให้เร้าใจเพิ่มขึ้น ลองดันเจ้าน้องชายคุณขึ้นข้างบนหรือดันลงข้างล่าง ก็จะสามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อ Perineal muscle ที่อยู่ระหว่างบริเวณช่องทวารและปากประตูรักของเธอได้ด้วย ซึ่งจุดนี้ก็เป็นจุดที่อ่อนไหวต่อการสัมผัสเหมือนกันอีกวิ ธีหนึ่ง


ความลึก ตื้น ที่คุณกำหนดได้

หากคุณเป็นเก่งเรื่องลีลารัก เทคนิคของการเข้าถึงของส่วนกำยำของคุณคงช่วยสร้างความสุขส ุดๆ ให้คุณทั้งสองได้ ถ้าคุณชอบเข้าถึงลึกๆ ก็ลองถอดถอนออกมาให้ตื้นหน่อยแล้วเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น หรือถ้ายังชอบความลึกอยู่ ก็ลองเคลื่อนไหวให้นานขึ้น หรือว่าจะสร้างความตะลึง พรึงเพริดให้สาวเจ้าด้วยการคลอเคลีย เจ้าน้องชายบริเวณปากประตู แล้วก็เ สื อ ก พรวดเข้าไปแบบที่เธอไม่ได้ตั้งตัว


เคล็ดลับเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของศิลปะอย่างเซ็กซ์เท่านั้น จริงๆ แล้ว ก็ที่ทั้งคุณและคู่รักจะเสพสมอารมณ์หมายกัน ก็อยู่ที่จิตใจด้วย เมื่อคุณทั้งคู่มีความพร้อมและผ่อนคลายทั้งกายและใจ สวรรค์ก็คงอยู่ใกล้แค่เอื้อม...


กฎ 3 ข้อ ของการเล่นบทรัก

ปัญหาในเรื่องบนเตียง จะหมดลงไปได้ เมื่อคุณได้ลองทำตามกฏง่ายๆ ธรรมดาๆ 3 ข้อนี้ - ในขณะที่กำลังมีเซ็กส์ Dr. Jude Cotter ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา และ นักบำบัดเรื่องเซ็กส์ ชาวอเมริกัน ได้กล่าวถึงแนวทางการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ยามมีเพศสัมพันธ์ เอาไว้ว่า

1.ผู้หญิงก่อน หมายความว่า ผู้หญิงควรจะได้รับโอกาสที่จะไปถึงจุดสุดยอด ก่อนที่ผู้ชายของเธอจะไปถึง เธอควรจะได้ไปถึงจุดนั้น ไม่ว่าผู้ชายจะใช้วิธีใดๆ ก็ตาม ทั้ง รูปแบบวิธี การเล้าโลม, การใช้นิ้วสัมผัสปุ่มคิตอริส การทำออรัลเซ็กส์ หรือแม้แต่การใช้อุปกรณ์ช่วย ประเภท Vibrator ย้ำอีกครั้ง จะทำอย่างไรก็ได้ ที่จะช่วยให้เธอไปถึงจุดไคลแมกซ์ได้ก่อนเป็นอันดับแรก การกระทำแบบนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ การเอาใจผู้หญิง แต่ยังเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องทางด้านจิตวิทยา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ตามมาก็คือ นอกจากจะได้มีเซ็กส์ที่ดี สายสัมพันธ์ความรัก ก็จะดีขึ้นตามมาด้วย ถ้าหากผู้ชายเสร็จก่อนผู้หญิง เป็นธรรมดา ที่ผู้ชายมักจะรู้สึกว่า โอวว เสร็จแล้ว (พลางคิดในใจว่า เซ็กส์รอบนี้ จบแล้ว) ซึ่งนี่เป็นเพราะว่า เมื่อผู้ชายไปถึงจุดสุดยอด ร่างกายของเขาจะต้องการช่วงเวลาสักระยะหนึ่ง เพื่อการฟื้นฟูกำลัง ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการครั้งต่อไปได้ และยิ่งผู้ชายมีอายุมาก ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ก็จะยิ่งยาวนานมากขึ้นไปอีก อย่างเช่น วัยรุ่น อาจจะใช้เวลาราว 5 นาที แต่ชายวัยเกือบ 50 อาจจะใช้เวลาสักครึ่งชั่วโมง สำหรับผู้หญิง เป็นเรื่องตรงกันข้าม เธอไม่ต้องการเวลาสำหรับฟื้นฟูกำลัง และ เธอสามารถไปถึงจุดสุดยอด ซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อย่างต่อเนื่อง ข้อดีอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับผู้ชายที่มีความกังวลภายใจจิตใจ เกรงว่าจะรับมือกับเรื่องเซ็กส์ได้ไม่ดี จนมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการแข็งตัวของเจ้าหนู สิ่งหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ชายได้ก็คือ เมื่อเขาได้พาเธอถึงจุดไคลแมกซ์ก่อน พลังกามารมณ์ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมา พร้อมๆ กับความกลัวที่ลดลงไปกว่า 90 %

2. เธอเป็นคนตัดสินใจว่า พร้อมแล้วหรือยัง ที่จะสอดใส่ ผู้หญิงควรเป็นฝ่ายที่จะตัดสินใจว่า เมื่อใดที่การจู่โจมจะต้องเริ่มขึ้น ทั้งท่วงท่าที่เธออยู่ข้างบน หรือท่วงท่าปกติ (เขาอยู่ข้างบน - เธออยู่ข้างล่าง)

เวลาที่ถามผู้ชายว่า “คุณรู้ได้อย่างไร ว่าผู้หญิงที่นอนอยู่กับคุณบนเตียง พร้อมแล้ว ที่จะมีเซ็กส์” ผู้ชายก็จะตอบว่า “เธอเริ่มมีน้ำหล่อลื่นแล้ว” หรือ “ปทุมถันของเธอเริ่มตั้งชั้น” ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้หญิงสามารถมีน้ำหล่อลื่นได้ ก่อนที่เธอจะถอดเลื้อผ้าเสียอีก และในบางครั้ง การที่ปทุมถันของเธอตั้งชัน เป็นเพราะเกิดจากอาการชา ฉะนั้นแล้ว การมีเซ็กส์แบบมืออาชีพ ฝ่ายหญิงเท่านั้น ที่จะรู้ว่า เมื่อไร คือเวลาที่เหมาะสม สำหรับ การสอดใส่

3. ผู้หญิงควรเป็นฝ่ายกำหนดจังหวะ

ผู้หญิงควรเป็นฝ่ายควบคุมจังหวะความเร็วของอวัยวะเพศชาย เพื่อช่วยให้ตัวเองไปถึงจุดไคลแมกซ์ การที่ผู้ชายยอมให้ผู้หญิงควบคุมจังหวะ (ไม่ถึงขนาดตลอดเวลา แต่บอกตามช่วงเวลาที่ต้องการ) ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ฝ่ายชายรู้สึกดีๆ กระชุ่มกระชวย และรับรู้ว่า ฝ่ายหญิงมีการตอบสนองอย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความพอใจในเรื่องเซ็กส์ ระหว่างกัน

ปัญหาเรื่อง “เซ็กส์ไม่ช่วยอะไร” จะหมดไป เมื่อคู่รักนำ 3 วิธีง่ายๆ ที่มีประโยชน์นี้ ไปใช้ รวมทั้งสัมพันธ์ทางใจ ก็จะดีขึ้นอีกมากด้วยเช่นกัน

http://article.zubzip.com/?5148

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องที่น่ารัก...ของเซ็กซ์ (ตอนจบ)




การมีเซ็กซ์ที่สุขสมทำให้อายุยืนยาว สุขภาพดี เป็นหนุ่มเป็นสาวกว่าวัย การมีเซ็กซ์ที่สดใสช่วยชะลอแก่และไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ล้วนแล้วแต่เป็นประโยคที่ได้ยินมาช้านานแล้ว และแน่นอนว่าย่อมจะมีความจริงแฝงอยู่ในคำกล่าวข้างต้น ไม่อย่างนั้นคงจะไม่พูดต่อเนื่องมายาวนานจนทุกวันนี้


ขออรรถาธิบายว่าคำกล่าวในประโยคข้างต้นนั้นเป็นจริง เพราะเมื่อมีเซ็กซ์ที่สดใสและสุขสมแล้วก็จะผ่อนคลาย หายเครียด นอนหลับ และฝันดี


การนอนหลับสนิทหลังจากสุขสมร่วมกันแล้วนั่นแหละเป็นเคล็ดลับของเซ็กซ์ที่สดใส เพราะในขณะที่นอนหลับฮอร์โมนเมลาโทนินจากสมอง


ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการทำให้คนเราแก่ก่อนวัยจะเริ่มทำงาน โดยการกำจัดอนุมูลอิสระออกไปในขณะนอนหลับ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาหลังจากความสุขสมแล้วร่างกายจึงเกิดความกระปรี้กระเปร่าและกระชุ่มกระชวย


ขณะเดียวกันในขณะที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่นั้นระบบฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่ควบคุมการทำงานของระบบฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งฮอร์โมนเพศก็จะทำงานเต็มที่เต็มประสิทธิภาพทำให้ระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่ควบคุมโดยฮอร์โมนเหล่านั้นทำงานได้อย่างเต็มที่สอดประสานการทำงานเข้าด้วยกัน จนร่างกายสมบูรณ์


เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะทำงานเป็นปกติตามไปด้วย เกิดประสิทธิภาพในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และเชื้อโรคจากภายนอกที่จะมาทำอันตรายพอสุขภาพดี ฮอร์โมนเพศดี หน้าตาก็จะอิ่มเอิบแจ่มใส มีน้ำมีนวล กล้ามเนื้อแข็งแรง ประกายตาสดใส สุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์พลอยทำให้จิตใจเบิกบานและเป็นสุข


กายและใจจึงสอดประสานการทำงานกันอย่างสอดคล้อง และเสริมจุดอ่อนจุดด้อยให้แก่กัน จนไม่มีช่องว่างที่จะโดนทำอันตรายจากอะไร


ที่พึงจดจำก็คือ เซ็กซ์ที่สดใสนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ จำนวนครั้งของการไปถึงจุดสุดยอดไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของการไปถึงจุดสุดยอดในแต่ละครั้ง และใจจะเป็นสุขได้ก็ต้องเกิดจากการมีเซ็กซ์ที่ปลอดภัยเท่านั้น


ประโยคที่ว่า ‘เซ็กซ์ที่ปลอดภัยจึงจะเป็นเซ็กซ์ที่สดใส ซึ่งจะทำให้ใจเป็นสุข’ จึงเป็นประโยคคำพูดที่เป็นจริงเสมอในทุกยุคสมัยการร่วมรักหรือการมีเซ็กซ์ที่ ‘ถูกคน ถูกสถานที่ และถูกเวลา’ จึงเป็นรากฐานแห่งความสุขสมที่ยั่งยืน และควรจะเป็นเบื้องต้นของปรัชญาแห่งการร่วมรักที่อยู่บนพื้นฐานของความสุขสมที่ปลอดภัย


รักสดใส ใจสำราญ งานเงินดี มีความสุข...ใช่ไหมคุณ


ทำอะไรได้บ้าง...หลังมีเซ็กซ์ที่ไม่ทันป้องกัน

การมีเพศสัมพันธ์กันโดยที่ไม่ได้ป้องกัน เช่น ไม่ได้มีการใช้ถุงยางอนามัย อาจทำให้หลายคู่เกิดความรู้สึกกังวลใจ โดยเฉพาะผู้หญิงอาจจะกังวลใจมาก เพราะกลัวว่าตนเองจะท้องดังนั้นหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น สิ่งที่พอจะช่วยป้องกันเรื่องการท้องได้ก็คือ การกินยาคุมกำเนิดหลังร่วมเพศ (หรือที่หลายคนมักจะรู้จักในชื่อ ยาคุมฉุกเฉิน หรือ ยาคุมหลังร่วมเพศ)วิธีการกินยาคุมฉุกเฉินนี้ถ้าจะให้ป้องกันได้ ต้องกินครั้งละ 2 เม็ดโดยเม็ดแรกต้องกิน ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ (ยิ่งกินเม็ดแรกเร็วเท่าไรยิ่งได้ผลดี) แล้วให้กินเม็ดที่สองห่างจากเม็ดแรก หลังจากนั้นอีก 12 ชั่วโมง

สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพหลังจากผ่านไปสามถึงสี่ สัปดาห์ เพื่อตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ ยาชนิดนี้อาจส่งผลต่อตัวอ่อนหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น หรืออาจสวมห่วงคุมกำเนิดภายในห้าวันหลังการร่วมเพศที่เพื่อป้องกันการตั้ง ครรภ์.

การกินยาคุมกำเนิดหลังร่วมเพศนี้ ควรใช้ในกรณีฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น และเดือนหนึ่งไม่ควรกินเกิน 4 เม็ด ไม่ควรกินบ่อยๆ หรือกินเหมือนกับการกินยาคุมกำเนิดทั่วไป เพราะการกินยาชนิดนี้บ่อยๆ จะทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติได้ เช่น มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรืออาจถึงกับคลื่นไส้อาเจียน ในกรณีที่เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง

การสังเกตการตั้งครรภ์
รอบเดือนหากไม่มาภายใน 15 วันหลังจากมีเซ็กซ์ ให้ทดสอบการตั้งครรภ์จากปัสสาวะ (ทำด้วยตัวเองได้โดยการหาซื้อชุดทดสอบฯ ได้ที่ร้ายขายยาทั่วไป หรือที่เซเว่น อีเลฟเว่น) หากผลออกมาเป็นลบ (-) แสดงว่า ‘ไม่ท้อง’ หากผลเป็นบวก (+) แสดงว่า ‘ท้อง’ หากตรวจแล้วและพบว่าผลเป็นบวก แต่ยังไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย หน้ามืดหรือวิงเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นอาการของคนท้อง ให้รอไปอีก 7 วันแล้วตรวจซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

เซ็กซ์ที่ไม่ป้องกัน
คำว่า ‘ป้องกัน’ นี้ ต้องมองทั้ง 2 มุม คือ ป้องกันการท้องและป้องกันโรค เราอาจมีวิธีจัดการที่หลากหลายเพื่อป้องกันการท้องได้ แต่ในขณะนี้ยังไม่มีวิธีใดที่จะป้องกันการติดเชื้อเอดส์ได้นอกจากการใช้ถุงยางอนามัย ทางที่ดีและปลอดภัยควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์และป้องกันเอดส์ ก่อนที่จะสายเกินไป

ถุงยาง’ คืออะไร?
ถุงยางคือปลอกยางเนื้อบางที่สามารถม้วนออกเพื่อครอบองคชาตขณะแข็งตัว ควรสวมถุงยางตลอดช่วงเวลาการร่วมเพศ ความน่าเชื่อถือของถุงยางจะมีมากขึ้น หากใช้ร่วมกับโฟมหรือครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางยังสามารถใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ ถุงยางมีจำหน่ายทั่วไป ทั้งในร้านอาหาร ร้านขายยา ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ถุงยางมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้ได้ถูกต้อง

ถุงยางอนามัยสตรี
ถุงยางอนามัยสตรีคือปลอกยางที่มีความยืดหยุ่นสำหรับสอดเข้าในช่องคลอดของ ผู้หญิงเพื่อปกปิดปากมดลูก ถุงยางอนามัยสตรีมีจำหน่ายในขนาดต่างๆ โดยแพทย์จะต้องเป็นผู้สวมใส่ให้ ควรใช้ถุงยางอนามัยสตรีร่วมกับครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางอนามัยสตรีสามารถสวมใส่ในตอนใดก็ได้ก่อนการร่วมเพศและควรสวมทิ้งไว้ เป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมงหลังการใส่ ผู้หญิงส่วนใหญ่สามารถใส่ถุงยางอนามัยสตรีได้ ถุงยางอนามัยสตรีและครีมฆ่าเชื้ออสุจิเป็นวิธีการในการคุมกำเนิดที่เชื่อถือ ได้หากสวมใส่ลงในช่องคลอดอย่างถูกต้อง

ยาฆ่าอสุจิ
ยาฆ่าอสุจิใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยสตรี ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการคุมกำเนิดหากใช้เพียงอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์นี้ทำขึ้นเป็นครีม โฟม เยลลี่หรือยาสอด ยาฆ่าเชื้ออสุจิสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้

1. การนับระยะปลอดภัยตามทฤษฎี เราสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หากไม่มีการร่วมเพศในช่วงที่ผู้หญิงกำลังตก ไข่ แต่เป็นวิธีการที่เชื่อถือไม่ค่อยได้เนื่องจากระยะเวลาและรอบเดือนของช่วง การตกไข่ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป และไม่มีความแน่นอน

2. วิธีการหลั่งภายนอก
เราเคยเชื่อว่า หากการร่วมเพศถูกขัดขวางก่อนการหลั่งเชื้ออสุจิ อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักในปัจจุบัน เพราะเชื้ออสุจิบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอดก่อนการหลั่งได้ ทำให้เกิดการตั้งครรภ์เหนือความคาดหมายอยู่เสมอ

อย่าง ไรก็ตาม การรู้จัก ‘คุมกำหนัด’ จัดเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ ป้องกันโรค หรือพร้อมจะเป็นคู่ครองกันอย่างแท้จริง ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดหมาย เป็นวิธีการที่ดีที่สุดก่อนที่คุณจะมีเซ็กซ์กับใครสักคน

http://www.jogjag.com/board/index.php?PHPSESSID=6854ed85aeb7e288616bd467933748bb&topic=448.0

นิสิต กับ นักศึกษาต่างกันอย่างไร ?

นักศึกษา น. ผู้มีความรู้สอบไล่ได้ไม่ตํ่ากว่ามัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตร ของกระทรวงศึกษาธิการหรือมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เทียบเท่า ซึ่งเข้ารับการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา.

นิสิต น. ผู้ที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยบางแห่ง เช่น นิสิตจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์; ศิษย์ที่เล่าเรียน อยู่ในสํานัก, ผู้อาศัย. (ป. นิสฺสิต).

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒

นิสิต-นักศึกษา
สงสัยไหมว่า คำว่า นิสิต กับ นักศึกษา แตกต่างกันอย่างไร ทำไมบางมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์ ม.นเรศวร จึงเรียกผู้ที่กำลังศึกษาว่านิสิต แต่มหาวิทยาลัย/สถาบันอื่นใช้นักศึกษา และคำว่านิสิตมีความหมาย ประวัติความเป็นมา หลักเกณฑ์ที่จะใช้อย่างไร
คำเรียก "นิสิต" และ "นักศึกษา" เริ่มมาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งมีบัญญัติคำเพื่อเรียกบุคคลที่เข้าเรียนใน 2 ลักษณะที่แตกต่างกัน อาจารย์สวัสดิ์ จงกล ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ประจำหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึง 2 คำนี้ไว้ว่า ในอดีตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดสอนทั้งเยาวชนที่เป็นเด็กนักเรียนทั่วไป และผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้วเข้ามาเรียนเพื่อเพิ่มคุณวุฒิ จึงต้องมีการเรียกสถานภาพของผู้เรียนให้ต่างกัน

นิสิต" แปลว่าผู้อาศัย ครั้งกระโน้นนักเรียนที่มาเรียนจุฬาฯ ถือว่าอยู่นอกเมือง คนที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็จะมาอยู่หอพักมหาวิทยาลัย เรียกเป็นนิสิต นอกจากนี้การเรียนการสอนในบางคณะ เช่น คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ต้องอาศัยห้องทดลองห้องปฏิบัติการ โรงฝึกงานต่างๆ ไม่เพียงเรียนภาคทฤษฎี สอดคล้องต่อคำเรียกนิสิต อันความหมายหนึ่งแปลว่าศิษย์ที่เล่าเรียนอยู่ในสำนัก
ส่วน "นักศึกษา" ซึ่งจุฬาฯ มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2473 เป็นศัพท์เรียกผู้มาเรียนเพิ่มวุฒิ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ทำงานแล้ว บางเวลาเรียนก็ไม่อาจเข้าฟังบรรยายได้เนื่องจากต้องทำงานประจำ และไม่ได้พักอาศัยในมหาวิทยาลัย ต่อมา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งตั้งภายหลัง ใช้คำว่านักศึกษาสำหรับทุกบุคคลที่เข้าเรียน เรียกว่าเป็นผู้ที่มาศึกษา ทำให้เกิดคำว่านักศึกษาขึ้นอย่างกว้างขวาง เป็นนักศึกษาอาศัยตำราเรียนเป็นหลักไม่ต้องฟังบรรยายปัจจุบันมหาวิทยาลัยที่ใช้คำเรียกนิสิตมีอยู่ 3 สถาบัน คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งทั้งสองมหาวิทยาลัยหลัง ผู้เรียนในสมัยก่อนต้องอาศัยอยู่หอพักเช่นกัน เพราะมหาวิทยาลัยอยู่นอกเมืองเช่นเดียวกับจุฬาฯ ในอดีต สำหรับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถ้ามองในแง่ความหมายแล้วการศึกษาของเกษตรฯ ต้องอาศัยห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการเหมือนกัน แล้วก็มีหอพักให้ผู้ที่เรียนได้อาศัย จึงใช้คำว่านิสิต
กรณีของมหาวิทยาลัยนเรศวร เรียกนิสิตสืบเนื่องจากครั้งยังเป็นวิทยาเขตหนึ่งของศรีนครินทรวิโรฒ (วิทยาเขตพิษณุโลก) ซึ่งทุกวิทยาเขตใช้คำเรียกนิสิตตามวิทยาเขตแรกคือมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร (ซึ่งอยู่ชานกรุงเทพฯ ยุคโน้น) ผู้มาเรียนอยู่กินนอนอยู่ในมหาวิทยาลัย ปัจจุบันเมื่อทุกวิทยาเขตเป็นอิสระ บางแห่งอาจคงคำเรียกนิสิต บางแห่งอาจใช้คำนักศึกษาแทน แต่ถ้าแต่เมื่อใดก็ตามที่ใช้ มศว นำหน้าก็ใช้คำว่า นิสิต
สรุป ความหมายตามจำกัดความของพจนานุกรมฉบับมติชน พ.ศ.2547 "นิสิต" คือผู้อาศัย, ศิษย์ที่เล่าเรียนอยู่ในสำนัก, ผู้ที่ศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยบางแห่ง เช่น นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "นักศึกษา" คือ ผู้เข้ารับการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา

ว่าด้วยข้อถกเถียง นิสิต นักศึกษา
บ่อยครั้งที่กระทู้ในโต๊ะห้องสมุดจะมีข้อถกเถียงเรื่องที่มาของคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” โดยมากมักตั้งคำถามกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร สถาบันใดที่ใช้คำว่านิสิตบ้าง เป็นต้น ก่อนจะตอบคำถามเหล่านั้นก็ควรจะมาดูก่อนว่าคำว่า “นิสิต” หมายถึงอะไร และสถาบันใดบ้างที่ใช้คำว่า “นิสิต” คำว่า “นิสิต” นั้นเป็นภาษาบาลี แปลว่า “ผู้อาศัยกับอุปัชฌาย์” เนื่องจากแต่เดิมสถาบันการศึกษาระดับสูงมักมีหอพักให้ผู้เรียนได้พักอาศัยภายในสถาบัน ประกอบกับความนิยมภาษาบาลีด้วยจึงได้ใช้คำนี้โดยทั่วไป จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มแรกเป็นโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราวุธ ได้สถาปนาขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย” และปรากฏใช้คำว่า “นิสิต” สำหรับนิสิตชาย และ “นิสิตา” สำหรับนิสิตหญิง ต่อมาจึงได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “นิสิต” เพียงคำเดียวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ก่อตั้งขึ้นโดยที่ค่านิยมภาษาบาลีสันสกฤตยังเป็นที่นิยมและมีหอพักให้ผู้เรียนภายในสถาบันเช่นเดียวกัน จึงใช้คำว่า “นิสิต” มาตั้งแต่แรกเริ่ม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นับเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของไทย เริ่มต้นจากการเป็น “โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงถนนประสานมิตร” ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “วิทยาลัยวิชาการศึกษา” นับเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกของไทยที่สามารถเปิดสอนวิชาชีพครูได้ถึงระดับปริญญา (ก่อนจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย) โดยมีทั้งสิ้น ๘ แห่งทั่วประเทศ และทุกแห่งก็ใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนกันหมด ภายหลังวิทยาลัยวิชาการศึกษาทั้ง ๘ แห่ง ก็ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” (อ่านว่า สี-นะ-คะ-ริน-วิ-โรด)

ทั้ง ๓ มหาวิทยาลัย (๗ มหาวิทยาลัย) ใช้คำว่า “นิสิต” ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ มีหอพักให้ผู้เรียนอยู่ภายในสถาบันในสมัยที่ประชาธิปไตยพยายามจะเบ่งบาน มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (ธรรมศาสตร์ หมายถึง วิชาว่าด้วยกฎหมาย) เป็นมหาวิทยาลัยเปิด ไม่มีหอพักให้ผู้เรียน จึงสร้างคำใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เป็น “ไทย ๆ” มากขึ้น จึงใช้คำว่า “นักศึกษา”
มหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นภายหลังหลาย ๆ แห่ง แม้จะมีหอพักนักศึกษาอยู่ภายในมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่นิยมใช้คำว่า “นิสิต” เหมือนมหาวิทยาลัย “โบราณ” ที่ก่อตั้งมานานแล้วทั้งหลาย จึงหันไปใช้คำว่า “นักศึกษา” เหมือนกันแทบทุกแห่ง แม้แต่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เอง แต่เดิมก็ใช้คำว่า “นิสิต” แต่ภายหลังอธิการบดีท่านหนึ่งซึ่งเป็นนายแพทย์ ก็ได้เปลี่ยนคำว่า “นิสิต” มาเป็นคำว่า “นักศึกษา” ดังนั้น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เองก็นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เคยใช้คำว่า “นิสิต” มาก่อน

http://www.jogjag.com/board/index.php?PHPSESSID=6854ed85aeb7e288616bd467933748bb&topic=637.0

การลดน้ำหนักด้วย SEX

การลดน้ำหนักด้วย SEX เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ดีมาก จึงนำเอาตาราง Sex Calorie Counter จากองค์การอนาจารโลกมาฝากให้ เป็นคู่มือไว้ใช้นะ

ถอดเสื้อผ้า

ของเธอเธอเต็มใจ........................... 12 แคลอรี่
เธอไม่เต็มใจ...................... 187 แคลอรี่
ถอดบราของเธอด้วยสองมือ.......................... 8 แคลอรี่
ด้วยมือเดียว........................ 12 แคลอรี่
ด้วยฟัน.............................. 85 แคลอรี่

ใส่ถุงยาง"
มัน"เย้ยฟ้า........................... 6 แคลอรี่
" มัน"ท้าดิน...................... 315 แคลอรี่
เล้าโลมเธอพยายามหาสยิวสปอต............. 8 แคลอรี่
พยายามหาจีสปอต............... 92 แคลอรี่

ตำแหน่งพื้นฐาน................................ 52 แคลอรี่
69 แนวนอน........................ 78 แคลอรี่
69 แนวตั้ง......................... 112 แคลอรี่
กงล้อหมุน............................ 216 แคลอรี่เ
ธอเหนือกว่า........................ 524 แคลอรี่
ม้าพยศ.............................. 726 แคลอรี่
ลิงอุ้มแคนตาลูป................... 912 แคลอรี่
ออกัสซั่มจริง................................. 112 แคลอรี่
ปลอม.............................. 315 แคลอรี่

ถึงที่หมายแล้ว...
นอนโอบกอดกันและกัน.................... 18 แคลอรี่
ลุกออกไปทันที............................. 36 แคลอรี่
อธิบายว่าทำไมต้องลุกออกไปทันที...... 816 แคลอรี่

ตื่นตัวรอบที่ 2
ถ้าคุณอายุ … 20-29 ปี............................ 36 แคลอรี่
30-39 ปี............................. 80 แคลอรี่
40-49 ปี.......................... 1124 แคลอรี่
50-59 ปี.......................... 1972 แคลอรี่
60-69 ปี.......................... 2916 แคลอรี่
70 ปีขึ้นไป.......................อยู่ระหว่างการพยายามทดลองต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะทราบผล

ใส่เสื้อผ้า
สบายๆ............................... 32 แคลอรี่
รีบร้อน............................... 98 แคลอรี่
คุณพ่อเธอเคาะประตูอยู่.......... 1218 แคลอรี่
ภรรยาคุณเคาะประตูอยู่........... 5521 แคลอรี่
สามีเธอเคาะประตูอยู่............. 7201 แคลอรี่ !!!!!

http://www.jogjag.com/board/index.php?PHPSESSID=6854ed85aeb7e288616bd467933748bb&topic=493.0

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วัฒนธรรมเปลือยกาย








ว่าด้วยเรื่องราวของการแต่งกายในสมัยก่อนจริงๆ แล้วแต่ก่อนนั้นใครจะแต่งตัวยังไง ก้อไม่มีใครห้ามหญิงชายสมัยก่อนก้อเลยค่อนข้างจะ Free Style ค่ะ
ผู้ชายจะนุ่งผ้าหยักรั้ง หรือโสร่ง ก้อว่ากันไปแต่ 99% นั้นไม่นิยมสวมเสื้อ ไม่ว่าจะนอกบ้านหรือในบ้านก้อตาม


ส่วนผู้หญิง.. ก้อเช่นเดียวกันแหละค่ะถ้าไม่ใส่ผ้าคาดอก หรืออะไรก้อแล้วแต่ที่ปกปิดส่วนบนก้อจะไม่ใส่อะไรเลย.. แบบนี้

แต่ก้อยกเว้นก้อพวกสาวๆ วัยรุ่น ที่ยังไม่มีครอบครัวนะคะเพราะถ้าไม่ใส่อะไรส่วนบน ดูจะเปิดเผยกับหนุ่มๆไปเดี๋ยวจะไม่มีอะไรให้ค้นหาซะฉิบ
เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมเปลือยกายท่อนบนนี่ก้อป๊อปในหมู่ชายสยามทุกคน และหญิงสยามที่มีครอบครัวแล้วเท่านั้นแต่ก้อยังสาวๆอยู่นะคะนั่น.. คิดดูสมัยก่อนเค้ามีครอบครัวกันตอนอายุกี่ปีเอง
ที่เป็นอย่างนั้นก้อเพราะว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อนไงคะถ้าสวมเสื้อก้อจะทำให้ร้อนขึ้นไปอีกก้อเลยไม่นิยมสวมเสื้อกัน
แต่พออารยธรรมของฝรั่งมังค่าเข้ามาในสยามร.4 จึงทรงโปรดให้สวมเสื้อเข้าเฝ้าและครั้งนั้นแหละ เป็นการปฏิวัติการแต่งกายครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
พอมาถึงสมัย ร.5 พระองค์ทรงออกกฎเลยว่าไม่ใช่แค่จะใส่เสื้อเวลาเข้าเฝ้าอย่างเดียวแต่รวมถึงเวลาที่ชาวสยามออกไปนอกบ้านด้วยค่ะวันนี้แนนแอบอิงประกาศฉบับนั้นมาด้วย.. มันมีใจความเป็นต้นว่าอย่างนี้..
"คำว่าแต่งกายไม่สมควรในที่นี้ คือผู้ใหญ่ทั้งชายแลหญิงสรวมแต่เสื้อชั้นในฤๅไม่ได้สรวมเสื้อเลย สุดแต่ไม่มีเสื้อที่ควรเป็นเสื้อชั้นนอกได้อย่าง ๑นุ่งกางเกงขาสั้นเหนือเข่าขึ้นมา ฤๅนุ่งโสร่งเป็นต้นอย่าง ๑ สรวมรองเท้าไม่มีถุงเท้า ฤๅสลิปเปอเปนต้นอย่าง ๑"
ซึ่งถ้าใครไม่ปฏิบัติตามล่ะก้อ.. โดนปรับไม่เกินคราวละ 10 บาทเลยทีเดียวส่วนเด็กอายุ 15 ปีลงมา ผู้ปกครองต้องรับโทษแทน10 บาทสมัยนั้นนี่ไม่ใช่ขี้ๆเลยนะคะคิดดูว่าตอนนั้นข้าวสารถังละ 3 บาทแล้วล่ะ
พอออกประกาศเสร็จแล้ว ก้อถือว่าเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เคร่งครัดกันมากมาจนถึงทุกวันนี้..
ว่าด้วยเรื่องของแฟชั่น.. เค้าบอกว่ามันวนไปวนมาไม่ว่าจะรุ่นไหนๆอย่างเกาะอกมันมีมาเนิ่นนาน ยังมาบูมได้ในสมัยนี้เลย..แล้วเรื่องเปลือยอกล่ะ?? ว่าไปนู่นแล้ว 555เอ้าแต่ก้อไม่แน่นะ โลกร้อนขึ้นแบบนี้ใครสนใจจะนำแฟชั่นแบบเดิมๆมั่งฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




Blacktooth แฟชั่นฟันดำ




วันนี้จะว่าด้วยเรื่องของ แฟชั่นฟันดำ หรือ Blacktoothที่พัฒนามาเป็น Bluetooth ในปัจจุบัน


รสนิยมฟันดำนี่บูมมากในสมัยโบราณซึ่งก้อไม่โบราณเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะเราเริ่มหันมานิยมฟันขาวกันได้เมื่อไม่กี่สิบปีมานี่เองสาเหตุที่ชาวสยามจะย้อมฟันให้ดำนั่นก้อเพราะความเชื่อที่ว่า.. ภูตผีปีศาจและสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้นถึงจะมีฟันขาวการมีฟันขาวก้อเลยเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากมายในสมัยนั้น


การขัดฟันให้ดำ ถือว่าเป็นจารีตของคนไทยสมัยก่อนเลยนะคะโดยเฉพาะผู้หญิงนี่ งามไม่งามดูที่ฟันก่อนเลยแหละแต่ไม่ใช่แค่จะเคี้ยวๆๆๆๆๆ หมากให้ฟันดำอย่างเดียวนะคะการทำฟันให้ดำ จริงๆ เค้าจะมีพิธีกรรมย้อมฟันด้วย
พิธีกรรมเค้าก้อจะเริ่มทำตอนที่อายุได้ซัก 14-15โดยจะให้คนที่จะย้อมฟันนั่นนอนหงายอยู่ 3 วันตอนแรกก้อจะล้างฟันด้วยน้ำมะนาว แล้วก้อใช้น้ำยาอะไรไม่รู้ถูจนมีสีแดงเสร็จแล้วตามด้วยผงกะลามะพร้าวเผาขัด ขัดๆๆๆๆๆๆ อยู่อย่างนั้นให้รู้สึกว่าชาไปเลย บางคนถึงกับฟันร่วง อันนี้เรื่องจริงแล้วตลอด 3 วันนี่ก้อจะต้องกินแต่ข้าวต้มหยอดลงคอ.. ห้ามโดนฟันและยิ่งไปกว่านั้น ต้องห้ามไม่ให้ฟันโดนลม!!!เพราะเดี๋ยวพิธีจะเสีย แนนก้อไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าทำกันอีท่าไหนไอ้เรื่องไม่ให้ฟันโดนลมเนี่ย
หลังจากทำพิธีเสร็จ.. ก้อจะป่วย เพราะมันเพลียมากไงคะทรมานนะนั่น ก้อต้องนอนห่มผ้าไปจนกว่าปากจะหายบวมแล้วก้อจะได้ฟันดำเงางาม..ตามต้องการ


แฟชั่นฟันดำระบาดกันมาหลายร้อยปีเลยทีเดียวจนสมัย ร.5 เสด็จไปประพาสยุโรป (พระองค์เองก้อทรงเคี้ยวพระศรีอยู่เหมือนกันนะ)ทรงเห็นว่าชาติตะวันตกนั้นฟันขาวกันหมดพอเสด็จกลับมา ก้อทรงขัดพระทนต์ให้เป็นสีขาวและเริ่มจะให้ชาวสยามฟันขาวมากขึ้น
พอสมัย ร.6 ชาวสยามโดนกดดันเลยค่ะเพราะ ร.6 ทรงประกาศเลยว่า นิยมฟันขาวและชังคนฟันดำชาวสยามเลยหันมาขัดฟันขาวกันมากขึ้น โดยใช้ถ่าน และมีดขูด
พอมาถึงสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เท่านั้นแหละชาวสยามโดนสั่งโค่นต้นหมากกันให้หมดก้อเลยนิยมฟันขาวกันมากขึ้น และมากขึ้นอีก (แบบจำใจ)แต่ก้อยังมีคนนิยมฟันดำแบบเดิมๆอยู่นะคะสมัยนี้มีรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ตอนแนนเด็กๆ เคยเห็นอยู่นะ
เป็นอันสิ้นสุดเรื่องแฟชั่นฟันดำ


สุดท้ายมาคิดกันขำๆดีกว่าว่า..ถ้าตอนนั้น ร.5 พระองค์เสด็จไปประพาสยุโรปแล้วไม่ทรงโปรดฟันขาวกลับมาล่ะ?จะเป็นยังไง?
นั่นสินะ.. ปัจจุบันเราอาจจะมียาสีฟันสูตรฟันดำใช้กันก้อได้เช่น..
"คอลเกต สูตรดำเงางามผสมฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุและสารสกัดจากกะลามะพร้าว"
"ใกล้ชิด สูตรแบล๊คแคลเซียม เพื่อสุขภาพฟันที่แข็งแรงและดำเงางาม"
และอื่นๆ อีกมากมายเอ้า.. น่าคิดเหมือนกันนะ

ตุ๊กตาเสียกบาล




ความเชื่อเรื่องผี เห็นจะเป็นสิ่งที่ผูกพันกับวิถีชีวิตผู้คนทั่วทั้งโลกอย่างแยกไม่ออกตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ไม่ว่าจะชาติไหนๆ ก็มีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผีกันทั้งนั้น
และสำหรับคนไทยนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยล่ะค่ะ เห็นทีว่าจะมีประเพณีที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องผีมากมายหลายเรื่องเลยเรียกว่าถ้าจะให้ลิสต์ออกมานี่ก็คงลิสต์ออกมาไม่หมดเลยทีเดียววันนี้แนนขอหยิบยกมาซักเรื่องแล้วกันนะคะ..
อดีตแห่งสยามวันนี้เป็นเรื่องของ ตุ๊กตาเสียกบาลตุ๊กตาดินปั้นหน้าตาน่ารัก ที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นตุ๊กตาเด็กเล่นสมัยก่อนแต่ทว่าความจริงนั้น มันคือตุ๊กตาเซ่นผีตามความเชื่อของคนไทยโบราณต่างหาก


ในสมัยโบราณ มีความเชื่อว่าการที่คนตายเนี่ยก็เพราะผีมาเอาชีวิตไปค่ะเวลามีคนเจ็บป่วย ร่อแร่ ใกล้ตาย เค้าก็เลยพยายามหาวิธีว่าเอ๊ะ จะทำยังไงไม่ให้ผีมาเอาตัวไปได้ ก็เลยปั้นตุ๊กตาดินขึ้นมา ให้เป็นเพศเดียวกับคนที่ใกล้ตายเสร็จแล้วหักคอตุ๊กตาตัวนั้นซะ ทำพิธีเสียกบาล แล้วก็เอาไปวางไว้ที่ทางสามแพร่งเอย ลอยน้ำไปบ้างเอยเป็นกลอุบายหลอกผี โดยใช้ตุ๊กตาเป็นตัวแทนของคนใกล้ตายนั่นเองพอทำพิธีเสียกบาลตุ๊กตา ก็เหมือนเป็นการโอนถ่ายความตายไปให้ตุ๊กตาและเป็นการบอกผีว่า เนี่ย คนนี้ตายแล้วนะ ไม่ต้องมาเอาชีวิตไปแล้วนะ ตายแล้ว


และนอกจากตุ๊กตาเสียกบาลจะทำขึ้นในช่วงที่มีคนใกล้ตายแล้วยังทำขึ้นในกรณีที่มีหญิงท้องโตใกล้คลอด และเวลาที่มีเด็กเกิดอีกด้วยนะคะที่ทำพิธีนี้กับหญิงใกล้คลอด ก็เพราะแต่ก่อนการแพทย์ยังไม่ทันสมัยเหมือนทุกวันนี้การคลอดลูกนี่เป็นตายเท่ากันค่ะ ก็เลยถือว่าคนท้องนี่ก็อยู่ในภาวะเสี่ยงตายเหมือนกัน
ส่วนที่ทำพิธีนี้ในช่วงเวลาที่มีเด็กเกิด ก็เพราะคนโบราณเชื่อกันว่าผีจะมาเอาชีวิตเด็กทารกไป เพราะหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูค่ะแต่ในกรณีนี้จะไม่หักคอตุ๊กตานะคะ แต่จะใช้มีดกรีดหน้าตุ๊กตาให้ดูน่าเกลียดแทนเสร็จแล้วเอาไปเซ่นผีที่ทางสามแพร่งเช่นกัน เป็นนัยว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่าเกลียดนะพอผีมาเห็นว่าตุ๊กตาตัวแทนเด็กหน้าตาน่าเกลียด ก็จะไม่มาเอาตัวไปค่ะ
และนอกจากความเชื่อที่ว่าผีจะมาเอาตัวเด็กทารกไปจะสะท้อนผ่านตุ๊กตาเสียกบาลแล้วยังมีคำๆนึงค่ะที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน.. นั่นคือคำว่า น่าชัง ค่ะในสมัยโบราณคนไทยจะไม่ชมเด็กแรกเกิดว่าน่ารักนะคะ แต่จะบอกว่าน่าชังแทนไม่ว่าเด็กคนนั้นจะหน้าตาน่ารักแค่ไหนก็ตามทีที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะกลัวว่าผีจะมาได้ยินไงล่ะคะ ก็เลยบอกว่าเด็กน่าชังไปผีได้ยินจะได้รู้ว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่าชัง ไม่มาเอาตัวไปนั่นแหละค่ะ
และนี่แหละค่ะคือความเชื่อที่เป็นที่มาของ ตุ๊กตาเสียกบาลตุ๊กตาดินปั้นเซ่นผีที่เรายังคงได้ยินชื่อของมันมาจนถึงทุกวันนี้


คู่มือเด็กมหาลัย ฉบับคนมีกึ๋น

คู่มือเด็กมหาลัย ฉบับคนมีกึ๋น
"ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่งฉันจึง มาหา ความหมายฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมายสุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว"
คุ้นหูกันดีค่ะ สำหรับบทกวีกระชากใจเด็กมหาลัยบทนี้เพราะมันดันไปสอดคล้องกับความคิดของเด็กมหาลัยหลายๆคนเข้าเลยโดนใจเข้าอย่างจัง.. กลายเป็นนิยามการเรียนระดับมหาลัยของใครหลายๆคนแล้วก็ทำให้เกิดเป็นประโยคที่ได้ยินจนชินหูประโยคนี้
"เรียนไปก็ไม่ได้อะไรนอกจากใบปริญญา"
อะกู๊ยยยยยยยยย... แสบทรวง ทะลวงไส้
เอ้า... ก็ว่ากันไปตามความคิดของแต่ละคนค่ะใครได้ก็ได้ไป ส่วนใครที่ไม่ได้ก็บ่นไป เรียนนู่นไม่ได้ใช้ เรียนนี่ไม่ดี ระบบห่วยเสียดายเงินค่าเทอม นู่น นี่ อีจุ๊ก อีจิ๊ก ไก่ กา หมา แย้..บ่นกันตั้งแต่วันรับน้อง จนน้องจัดบายเนียร์ให้มัน มันก็ยังบ่นต่อไป
เพราะงั้น!! หลายคนที่กำลังจะเข้ามหาลัยก็ดี หรือเพิ่งจะเข้ามหาลัยมาก็ดีมาทำความเข้าใจกับชีวิตมหาวิทยาลัยกันทางนี้ดีกว่าค่ะ แล้วจะรู้ว่า ไอ้ที่ว่าเรียนไปก็ได้แค่ปริญญาใบเดียวน่ะ เป็นความรู้สึกเฉพาะบุคคลจริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นซะที่ไหนมาเป็นคนมีกึ๋นที่เรียนให้ได้มากกว่าใบปริญญากันดีกว่ามั้ย?
เริ่มต้นจากก้าวแรกในมหาวิทยาลัย
1. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... รุ่นพี่ไม่ใช่เทวดา และจบไปเราไม่ได้ไปเป็นทหาร ไม่จำเป็นต้องทำตามที่มันบงการไปซะทุกอย่าง มันบอกให้ทำนู่นทำนี่ก็จริงแต่สิทธิ์ยังเป็นของเราค่ะ อันไหนควรทำไม่ควรทำ เรามีสิทธิ์เลือกที่จะทำได้ค่ะ
2. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... เหล้าเบียร์ไม่ใช่ตัวตัดสินความเป็นผู้ใหญ่ มันไม่ได้มีฤทธิ์กระตุ้นต่อมความคิดให้พัฒนาเร็วขึ้นได้ ความเป็นผู้ใหญ่มันอยู่ที่ความคิดค่ะ ไม่ใช่อยู่ที่กินเหล้าเบียร์เป็นหรือไม่เป็น
3. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... การเที่ยวกลางคืนไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ใช่กิจวัตรของเด็กมหาลัยโดยเฉพาะเด็กหอ พ่อส่งเงินมาให้เรียนเว่ย ไม่ใช่เที่ยวกลางคืน!!!!!!แต่ถ้าพ่อรวยมากล่ะก็.. พยายามไปมหาลัยให้บ่อยกว่าไปเที่ยวกลางคืนแล้วกันก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก..
เอาล่ะ 3 ข้อนั่นก้าวแรก ไปดูก้าวต่อไป
4. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... เพื่อนไม่ใช่เจ้าชีวิต เราสามารถเรียนวิชาอะไรก็ได้ที่เราอยากเรียน ลงทะเบียนตามใจเรา โดยไม่ต้องลงทะเบียนตามเพื่อน
5. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... มิตรภาพสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ เพราะฉะนั้นถ้าจะฉายเดี่ยวไปเรียนวิชาที่ตัวเองชอบ แม้ไม่มีเพื่อนไปเรียนด้วย ไม่ตายค่ะ เดี๋ยวก็เจอเพื่อนใหม่ แถมมีความสนใจเรื่องเดียวกันอีก ดีจะตายไป..
6. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... มหาลัยไม่สามารถป้อนความรู้ให้คุณได้อย่างที่คุณคาดหวังทั้งหมดเพราะฉะนั้น อยากเรียนรู้เรื่องอะไร หัดเรียนรู้เองซะบ้าง.. โตแล้ว ป้อนข้าวเองเป็นมั้ย???
7. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... ความรู้ที่เรียนในมหาลัยมันก็แค่สิ่งที่จะเอาไปอะแด๊ปใช้ในการทำงานสิ่งที่เอาไปใช้จริงๆ คือ ความสามารถ เพราะฉะนั้น พรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมา ความสามารถที่มีหลายๆอย่าง ต่อยอดเข้าไปสิ แล้วอะแด๊ปสิ่งที่เรียนเข้าไป รับรอง เพอร์เฟคท์!!!
8. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... วิชาพื้นฐานที่มหาลัยบังคับเรียน แม้ไม่เกี่ยวกับสาขาของตัวเองก็จริงแต่มันคือความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต้องมี เปิดโลกให้ความรู้สาขาอื่นเข้าไปดิ้นในสมองซะบ้าง ไม่ใช่จะเอาแต่ความรู้เฉพาะสาขาที่ตัวเองสนใจ (ให้รู้บ้างสิว่าพายอาร์คืออะไรมันคงไม่เปลืองเนื้อที่เท่าไหร่หรอกน่ะ เอ๊ะ!!!!!!!!)
9. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... การบ้านและโปรเจคท์ที่ได้รับมา เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นความคิดของตัวเองยิ่งยากก็ยิ่งดี ฝึกเข้าไปไม่เสียหายหรอกค่ะ เหมือนการเล่นเกมส์ ยิ่งคุณฝ่าด่านยากเท่าไหร่คุณก็จะมีทักษะมากขึ้นเท่านั้น
10. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... กิจวัตรประจำวันของเด็กมหาลัย ไม่ใช่การอวดของราคาแพงๆ หรือเปลี่ยนของใช้ที่ตกเทรนด์บ่อยๆ เพราะหากมันติดเป็นนิสัยแล้ว คุณจะลำบาก หากจบมาแล้วยังแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ เพราะติดนิสัยใช้ของแพง เงินเดือนไม่พอกับค่าใช้จ่าย มันน่าอายนะฮะ
11. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... ปริญญา การันตีได้แค่ความรู้ที่คุณมี ไม่ใช่คุณค่าของตัวคุณอย่าหลงระเริง หรือพาลดูถูกคนอื่น สิ่งที่การันตีคุณค่าของตัวคุณน่ะ คือความดี เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองมีปริญญาแล้วจะมีคุณค่า ถ้าคุณยังเป็นคนดีไม่ได้
12. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... ใบปริญญา มันใช้แค่ตอนสมัครงานเท่านั้นแหละส่วนสิ่งที่ใช้ในการทำงานจริงๆ คือ ความสามารถกับความรู้ที่คุณขวนขวายมาต่างหาก
13. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... คนโง่เท่านั้นที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ไม่ต้องเรียนแล้วเรียนแค่นี้ก็เอาไปใช้งานได้แล้ว
14. คนมีกิ๋นต้องรู้ว่า... ยิ่งเรียนรู้ได้เยอะเท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียบ ความรู้มีประดับสมองไว้ไม่ตาย..
15. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... การเรียนในมหาลัย คือการเรียนในห้องและเรียนรู้ด้วยตัวเองไปพร้อมๆกัน
16. คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... การเรียนรู้จากประสบการณ์ ลึกซึ้งกว่าอ่านหนังสือเยอะเพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสก้าวเข้าไปสัมผัสงาน อย่ารอให้โอกาสมันผ่านไป
และสุดท้าย
คนมีกึ๋นต้องรู้ว่า... ตัวเองเข้ามหาวิทยาลัยมาเพราะเห็นคุณค่าของ "การเรียน"ไม่ใช่เข้ามาเพราะอยากได้ "ใบปริญญา" เพียงอย่างเดียว
และในเมื่อใบปริญญาคือสิ่งที่จะมาการันตีความรู้ของคุณแล้วก็ทำตัวเองให้มันสมกับที่จะได้ใบปริญญามาเถอะค่ะเรียนรู้ให้มากที่สุด.. ให้คุ้มกับเวลา 4 ปีที่เสียไป..
แล้วคุณจะรู้ว่า..ไอ้สิ่งที่คุณได้มาน่ะ มันมีคุณค่ากว่าใบปริญญาตั้งเยอะ


http://nongza.exteen.com/20081001/entry

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประวัติกางกางยีนส์ LEVI



1870 - 1879 ผืนผ้าเดนิม(คำว่า เดอ นิม (Denim) มาจาก De Nimes แห่งเมืองนิมส์ เป็นเมืองที่มีช่างฝีมือ ในการทอผืนเนื้อผ้า)ถูกเปลี่ยนตั้งแต่ ค.ศ.1860 Levi Strauss & Co. เริ่มใช้คำว่า XX เมื่อปี ค.ศ.1870 หมายถึงเป็นผ้าเฮฟวี่เดนิม ที่มีคุณภาพดี โดยมีน้ำหนักเป็นพิเศษ Levi Strauss And jakob W David ร่วมกันจดทะเบียนหมุดโลหะ Copper Riveted เมื่อ ค.ศ.1873 ต่อมา ได้ทำการผลิตเดนิม กางเกงยีนส์ Overalls Denim XX เกิดขึ้นมา มีรูปแบบ 3 กระเป๋า จะ สังเกตได้ ที่ด้านหลังมีกระเป๋าหลังด้านขวากระเป๋าเดียว รุ่นแรกๆ นี้ จะเรียกว่ากางเกง โอเวอร์ออลล์ส(Overalls)


1880 - 1889 ได้ใช้ป้ายหนังแท้ มาทำป้ายหลังในปี ค.ศ.1886 ในยุคสมัยนี้ยังคงเรียกกางเกง Overalls Denim XX (ตัวอักษร XX หมายถึงความเป็นพิเศษของน้ำหนักผืนเนื้อผ้าที่มีคุณภาพดีที่นำ มาใช้ตัดเย็บกางเกง)


1890 - 1899 ใช้คำว่า 501 คือเลขส่งมอบผืนผ้าจากโรงงาน Amoskeag Manufacturing Company ส่งยัง Levi Strauss & Co. เมื่อปี ค.ศ.1890 กางเกง Overalls Denim 501 XX เย็บกระเป๋าใบที่ 4 คือกระเป๋าวอช พ๊อคเกต ในปี ค.ศ.1890


1900 - 1909 Levi Strauss & Co.ได้เย็บกระเป๋าหลัง เมื่อปี ค.ศ.1902 ทำให้เป็นกางเกง Overalls ที่มีกระเป๋าครบ 5 กระเป๋า เป็นกางเกง Overalls Denim 501 XX ที่สมบูรณ์แบบ ผลิตรุ่น 502 มีผลิตรุ่น 201 หรือกางเกงรุ่น นัมเบอร์ 2 ผลิตของเด็กชาย เป็นรุ่น 503 ก่อนแตกหน่อออก ไปอีกเป็น 503 A, และ 503 B ซึ่งเป็นของเด็กโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น รุ่น 503 ผลิตยาวถึง ยุค1960s จะเป็นรุ่น 503 Z


1910 - 1919 กางเกง Overalls Denim 501 XX ยังมีการผลิตรุ่น 502 รุ่น 201 ผลิตรุ่น 503 และรุ่น333 NO.31920 - 1929 กางเกง Overalls Denim 501 XX ได้เย็บหูกางเกงในยุคนี้ และได้ผลิตรุ่น 201 ไปอย่างต่อเนื่องจนถึงยุค 1940


1930 - 1939 กางเกง Overalls Denim 501 XX สมบูรณ์แบบ มีหูสำหรับร้อยสายเข็มขัด มีซินช์แบ็คเบลท์ ไว้ปรับให้กระชับในกรณีไม่ใช้สายเข็มขัด ในยุคนี้เป็นยุคที่ยกเลิกหมุดโลหะซ้าย-ขวา ของกระเป๋าหลังด้านใน เปลี่ยนเป็นเย็บกระเป๋าหลังครอบคลุมไว้และเย็บแท็กกิ้งทับอีกชั้นหนึ่ง หมุดโลหะเรียกว่า Concealed Copper Rivets นอกจากนี้ มีการใช้ป้ายเรดแท็บ (Red Tab) และได้จดทะเบียนป้ายไว้เเล้ว จากนั้นได้ผลิตกางเกงผู้หญิง Lady Levi's western Overalls 701 โดยใช้ผ้า Sanforized เป็น 701 ของผู้หญิงจะมีทั้งเสื้อเบลาซส์ สำหรับใส่ไปท่องเที่ยวในยุคดู๊ดแรนช์ (Dude Ranch) และมีการผลิตอย่างต่อเนื่องไปถึงยุค 1950's และ 1960's มีเป็นรุ่น Lot 401 Lady Levi’s ได้ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับผู้หญิง มีขนาดเอวตั้งแต่ 25 นิ้ว ถึง 33 นิ้ว และผลิตกางเกงผู้หญิงตามแบบฉบับสำหรับใส่ขี่ม้า เป็นรุ่น R 528 Ladies Sanforized Denim Frontiers (ตัว R หมายถึง Riding)กับผลิตเสื้อผู้หญิง เพื่อสวมเข้าชุดกัน รุ่น RJ 92 Ladie’s Sanforized Jacket


1940 - 1949 กางเกง Overalls Denim 501 XX มีรุ่นผลิตอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.1942 จนถึง ค.ศ.1944 ทาง Levi Strauss & Co. ได้เรียกกางเกง Overalls ที่เขาผลิตว่าเป็นรุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 บางที่อาจจะใช้คำว่า World War 2 เป็นรุ่น 501 XX, S 501 XX1950 - 1959 กางเกง Overalls Denim 501 XX ถือได้ว่าเป็นที่สุดยอดอีกครั้งหนึ่งของ Levi's เพราะผ่านการผลิตมาแต่ละยุคสมัยจนลงตัว และในยุคนี้เป็นยุคที่รุ่งโรจน์ของอเมริกา ภายหลังมีชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดาราฮอลลีวู้ด นักร้องร็อกแอนด์โรล ใครๆ ที่เป็นคนสำคัญในวงสังคมอเมริกัน และของโลกต่างหันมาสนใจในผืนผ้าเดนิม มีการเปลี่ยนแปลงป้ายหลังจากป้ายหนังแท้ มาเป็นป้ายกระดาษปะเก็น ประเดิมรุ่นที่คำว่า Every Garment Guaranteed Lot 501 XX


1960 - 1969 Levi Strauss & Co. ได้ผลิตกางเกง Denim 501 อยู่ระหว่างคาบเกี่ยวจะเปลี่ยนไปเป็น กางเกงยีนส์ 501 โดยมีการแสดงเกรดของผ้า โดยใช้ตัวอักษร A, S, F อยู่บนตัวเลขหมายรหัส 501 ของป้ายหลังที่เป็นกระดาษปะเก็น Levi Strauss & Co. เคยเรียกกางเกง Overalls Denim 501 XX และได้เปลี่ยนจากคำว่า Denim มาเป็นคำว่ายีนส์ (Jeans) ในยุคนี้ และมีการผลิตยีนส์ Levi's สีขาวขึ้นมา มีการผลิตรุ่น 505 โดยเป็นรุ่นที่ใช้ซิปแทนกระดุม ยุคนี้ได้ผลิตผ้า Shrunk to Fit มาทำเป็นกางเกงยีนส์ลีวายส์ 501 0115 ผืนผ้านี้จะไม่มีการหดตัว


1970 - 1979 กางเกงยีนส์ 501 XX เปลี่ยนป้ายเรดแท็บ จากที่เคยมีตัวอีใหญ่ (E) มาเป็นตัวอีเล็ก (e) 501รุ่นจากนี้ไปจึงติดป้ายเรดแท็บที่มีคำว่า Levi’s ให้สังเกต ตัวอี นี่เริ่มเป็นจุด ข้อแบ่งแยกป้าย เมื่อคนที่หากางเกงยีนส์ลีวายส์ที่เป็นรุ่นที่แตกต่างกันระหว่างบิ๊กอี และไม่ใช่ จึงทำให้กางเกงที่มีป้ายบิ๊กอีมีราคา


1980 - 1989 กางเกงยีนส์ 501 XX ได้กลายมาเป็นรุ่น 501 0000 เลขหมาย 0000 เป็นรหัสแทน XX และได้กลับมาเป็น 501 xx พิมพ์ตัวดำ ตัวเอ็กซ์ 2 ตัว จะเล็กเกือบครึ่งของตัวเลข แล้วก็ได้กลายมาเป็น 501 ตัวใหญ่พิมพ์ สีแดง1990 - 1999 กางเกงยีนส์ 501 XX ยังมีการผลิตอย่างต่อเนื่อง และในยุคนี้ได้ออก Levi's Vintage clothing (Vintage ในความหมายของคนวงการยีนส์คือ กางเกงยีนส์รุ่นเก่าๆ เคยผ่านการสวมใส่มาก่อน เป็นกางเกงไม่มีการผลิตขึ้นมาใหม่ จึงทำให้หายาก และเป็นที่ต้องการของนักสะสมยีนส์ คนรุ่นใหม่อยากใส่ยุคเก่าของคนรุ่นก่อน จึงบัญญัติศัพท์ว่า Vintage คือ ผลิตภัณฑ์รุ่นหนึ่งๆ ที่คนพึงพอใจ...ปัจจุบันคำนี้ไว้ใช้เรียก Brand ของ Levi's ที่เป็นสินค้าใหม่แต่ทำเลียนแบบสินค้าเก่า เช่น 501 xx รุ่น 110 ปี หรือรุ่น 150 ปี เป็นต้น ดังได้เขียนบอกกล่าวมาข้างต้น


2000 - 2009 กางเกงยีนส์ 501 XX ได้ผลิตไปตามความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่ทั่วโลก ในปี ค.ศ.2000 นิตยสารไทม์ ได้เขียนถึงกางเกงยีนส์ 501 Jeans ลงบทความที่มีชื่อว่า “The Clothing Piece of The 20 th Century” เครื่องแต่งกายชิ้นสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20 ในยุคนี้ได้ผลิตกางเกง Levi's Engineered Jeans ผลิตขึ้นมาเพื่อคนรุ่นใหม่ ที่อยู่ร่วมยุคปี 2000 มาถึงีLevi's Engineered เพื่อการสวมใส่สำหรับทุกกิจกรรมที่คุณสนใจ ต่อมาได้มีการผลิตกางเกงยีนส์รุ่นล่าสุด Levi’s Type 1TM Jeans มาเขย่าตลาดแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง สินค้า

ในยุคครบรอบ 150 ปี คอลเลคชั่นใหม่ 501 Celebration Jeans คือ Levi’s Nevada Jeans, Levi’s Red Tab Jeans, Levi’s Engineered Jeans และ Levi’s Vintage ClothingOriginal for 150 years ล่วงเข้าสู่ปี ค.ศ.2003 ความสำคัญของBrandLevi’s เปี่ยมด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยีนส์โลกคือ เป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบการก่อตั้งบริษัท Levi Strauss & Co. 150 ปี และครบรอบ 130 ปี ที่Levi Strauss And jakob W David ร่วมกันรังสรรค์สร้างผลิตภัณฑ์ Danim Jeans ขึ้นมาเป็นมรดกของโลก สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งที่นำเสนอในงานนี้คือ มีการค้นพบกางเกงยีนส์ Levi's ตัวหนึ่งที่เหมืองในเนวาดา หลังจากตรวจสอบ ลินน์ ดาวนี่ย์ นักประวัติศาสตร์ยีนส์ Levi's แห่งบริษัท Levi's ได้รับการยืนยันว่า นี่แหละคือกางเกงยีนส์เก่าแก่ที่สุดในโลก ผลิตตัดเย็บในปี 1890 บริษัทจึงเปิดให้มีการประมูล พิพิธภัณฑ์Levi's ได้ประมูลมันกลับมาสู่บ้านเกิด ด้วยราคากว่า 4 หมื่น 6 พันกว่าเหรียญ หรือประมาณ 1.8 ล้านบาทสิ่งที่ได้มานั้นแทบไม่น่าเชื่อว่ากางเกงยีนส์ Levi's ที่ผลิตจากผ้าฝ้ายนั้น มันสามารถมีอายุคงทนอยู่ได้เกินกว่า 100 ปี นี่คือข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งที่ Levi's ภาคภูมิใจนักหนา ว่าเขาคือ "ยีนส์ที่ทนทานทรหดที่สุดในโลก"


ข้าวแช่



ความเป็นมา
อันที่จริงข้าวแช่ไม่ใช่อาหารไทยแท้ เชื่อกันต่อๆมาว่าเป็นอาหารพื้นบ้านที่ชาวมอญนิยมทำขึ้นสังเวยเทวดาในพิธีตรุษสงกรานต์ โดยจะมีกรรมวิธีทำที่ยุ่งยากซับซ้อน ข้าวแช่ที่เราคุ้นเคยกันอยุ่ทุกวันนี้ เรียกเต็มๆแบบเพราะพริ้งว่า "ข้าวแช่เสวย" หรือ "ข้าวแช่ชาววัง" ซึ่งหมายถึงข้าวแช่ลอยในน้ำดอกไม้หอมเย็นชื่นใจ ที่รับประทานกับเครื่องเคียง เช่น ลูกกะปิทอดสีส้มจัด เครื่องผัดหวานสีน้ำตาลเข้ม และผักสีสวยทั้งหลาย


ชื่อข้าวแช่ชาววังหรือข้าวแช่เสวยนี้มีที่มา หมายถึงข้าวแช่ที่ชาววังจัดถวายรัชกาลที่ ๕ แล้วโปรดเป็นอย่างมาก พอบอกว่าเป็นอาหารชาววัง ใครๆก็อยากจะรับประทานทั้งนั้น หลังจากสิ้นรัชกาลที่ ๕ ในปี ๒๔๕๓ แล้ว ข้าวแช่ก็ออกสู่สังคม แล้วกลายเป็นดารายอดฮิตประจำเมนูหน้าร้อน โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์มาตั้งแต่นั้น ข้าวแช่ตำรับที่มีชื่อมากที่สุด เป็นของ ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ ผู้เคยทำงานอยู่ในห้องเครื่องต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านถือเป็นคนแรกๆที่ทำข้าวแช่ออกสู่ตลาด และมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงปัจจุบันค่ะเสน่ห์ข้าวแช่อยู่ที่กรรมวิธีในการปรุง เพราะองค์ประกอบของข้าวแช่นั้นมีมากมาย เคล็ดลับในการทำและทานข้าวแช่ให้ได้อรรถรสจึงอยู่ที่การสังเกตไปพร้อมกับการลิ้มรสค่ะ

ข้าวแช่ก็ต้องมากับ "น้ำดอกไม้" ค่ะ ในฤดูร้อนดอกไม้ไทยต่างพากันชิงออกดอกส่งกลิ่นหอม น้ำที่นำมาใส่ข้าวแช่จึงได้อิทธิพลของดอกไม้เหล่านี้ด้วย นิยมใช้ดอกไม้ไทยที่มีกลิ่นหอมเย็น ส่วนน้ำที่ใช้แต่เดิมมักใช้น้ำฝนใสสะอาด แต่ปัจจุบันมีน้ำแร่ของไทยชนิดไม่อัดแก๊สบรรจุขวดก็นำมาใช้แทนกันได้ดี เวลาเตรียมมักใส่น้ำลงในหม้อดินมีฝาปิด เพื่อให้น้ำนั้นเย็นกว่าอุณหภูมิภายนอก เวลาจะกินสมัยก่อนใช้เกล็ดพิมเสนโรยลงในน้ำเพียงสองสามเกล็ดเพื่อให้เย็นชื่นใจยิ่งขึ้น แต่ปัจจุบันหันไปใช้น้ำแข็งทุบละเอียดแทน
"ลูกกะปิทอด" ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของกับข้าวแช่ จะดูกันว่าข้าวแช่ของใครที่มีฝีมือก็ต้องพิจารณากันที่ลูกกะปิทอดนี้เอง ถัดมาก็มีพริกหยวกสอด, ปลายี่สนผัดหวาน,เนื้อเค็มฝอยผัดหวาน,หัวหอมสอดไส้,ผักกาดเค็มผัดหวาน,ปลาแห้งผัดหวาน , หมูสับกับปลากุเลา คือเครื่องเคียงที่นิยมรับประทานแกล้มกับข้าวแช่ ที่ลืมไม่ได้เลยคือผักสดแกะสลัก เมื่อกับข้าวแช่ส่วนใหญ่เป็นของทอด ก็ย่อมต้องมีผักที่ให้กลิ่นหอมและรสออกเปรี้ยวและขื่นนิดๆไว้ตัดรส แตงกวา กระชาย มะม่วงดิบ ต้นหอม กระชาย และพริกชี้ฟ้าสด จึงถูกนำมาจัดเป็นผักสดไว้กินแนมกับข้าวแช่
การกินข้าวแช่ก็ยังต้องมีวิธีการกินเช่นกัน เริ่มจากนำข้าวใส่ในน้ำลอยดอกไม้ให้สัดส่วนน้ำมากกว่าข้าวใส่น้ำแข็งเล็กน้อยพอให้เย็นชื่นใจ เวลาจะกินให้ตักกับข้าวใส่ปากแล้วตักข้าวตาม ก็จะได้รสชาติทั้งเย็นฉ่ำและความอร่อยกลมกล่อมของกับข้าว
นี่คือสิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมการกินของไทยที่งดงาม ละเอียดอ่อน ไม่แพ้ชาติใดในโลก เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์จากจินตนาการทิ้งไว้ให้กับชนรุ่นต่อๆมา เมื่อครั้งที่วัฒนธรรมจากตะวันตกยังมาไม่ถึง นับว่าเป็นความภาคภูมิใจที่ชนรุ่นหลังควรรักษาไว้ให้ยั่งยืนสืบต่อไป


รายละเอียด
"ข้าวแช่" ใช้ข้าวหอมมะลิมาหุงแบบเป็นตัวแล้วนำไปส่ายในน้ำจนเกลี้ยงเกลาก่อนจะนำมาใส่ในผ้าขาวบางแล้วนึ่งจนข้าวค่อนข้างนิ่มอีกครั้ง น้ำข้าวแช่ใช้ดอกมะลิ ดอกกระดังงา(ปีนี้เจ้าของออกตัวว่าหาดอกชมนาดไม่ได้)ปลอดสารลอยข้ามคืนจนหอมกรุ่น จากนั้นใช้เทียนอบสูตรโบราณจุดอบร่ำจนหอมเข้าเนื้อ แล้วนำไปแช่เย็นในหม้อดินให้คงความหอมจนถึงเวลาใช้
"ลูกกะปิทอด" รสชาติกลมกล่อมมีทั้งเค็มนำและหวานนิดๆตาม หอมเครื่องปรุงที่นำมาใช้คือกระชาย กะปิดี หอมแดงและกระเทียม โขลกละเอียดกับเนื้อปลาดุกย่างจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนที่จะนำมาผัดกับหัวกะทิในกระทะใบใหญ่ด้วยไฟอ่อนจนเนื้อปลาผัดกลิ้งไปมา ซึ่งต้องใช้เวลานับชั่วโมง จากนั้นจึงหยิบปั้นเป็นเม็ดเขื่องๆบีบให้แป้นแล้วชุบไข่ทอด ถือว่าเป็นหัวใจของกับข้าวแช่ เพราะหากลูกกะปิทอดไม่อร่อยเสียแล้วเป็นอันเสียคะแนนไปพอดี
"พริกหยวกสอดไส้" พริกหยวกเม็ดเขื่องหุ้มด้วยหรุ่มสีทองสวยเหมือนรังบวบ ไส้พริกนุ่มไม่เหนียวหนึกแน่นเกินไป เนื้อหมูและกุ้งสับหอมกลิ่นรากผักชีและกระเทียม เผ็ดเล็กน้อยด้วยพริกไทย ตัวพริกหยวกสุกหอมกำลังดี
"หัวไชโป๊วผัดหวาน" หัวไชโป๊วจากสุรินทร์หั่นฝอยผัดกับน้ำตาลปึกและน้ำตาลทรายจนขึ้นเงาสวย ปรุงรสเค็มเล็กน้อยผัดกับไข่ให้เป็นสองสีขาว เหลือง รับประทานเป็นกับตัวรอง
"หมูสับกับปลาเค็ม" ที่นี่ใช้เนื้อหมูติดมันสับละเอียดมาคลุกผสมกับเนื้อปลาค็มทอดสุกยี และกระเทียมสับปรุงรสให้เค็มนำแล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆก่อนชุบไข่ทอด ให้รสเค็มตัดรสกับกับข้าวอื่นที่ให้รสหวานนำ
"ปลายี่สนผัดหวาน" เนื้อปลายี่สนผัดกับน้ำตาลจนเหนียวหนึก แต่ใช้ปลายซ่อมตะกุยก็แบ่งเป็นคำได้ เนื้อปลาเป็นปุยหอมกลิ่นน้ำตาลเคี้ยวสนุกปาก กับชนิดนี้เป็นของข้าวแช่เมืองเพชรฯต้นตำรับ เจ้าของบอกว่าสั่งทำมาจากเพชรบุรีโดยเฉพาะ


http://www.oursiam.net/content/view.php?id=30

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นางเอกคนดังในวรรณคดี

กลุ่มแรก : สวย ดีจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง ได้แก่

1. นางสีดา จากเรื่องรามเกียรติ์
นางสีดาเป็นมเหสีของพระราม ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์มาปราบยักษ์ คือทศกัณฐ์ รูปโฉมของนางสีดานั้นเป็นที่เลืองลือว่างามล้ำเลิศจนไม่มีมนุษย์หรือเทพธิดาใดสามารถเทียบได้ ทศกัณฐ์เจ้ากรุงลงกามาลักพาตัวไป จนเกิดศึกชิงนางยืดเยื้อนานถึงสิบกว่าปี พระรามจึงรบชนะทศกัณฑ์พานางกลับมาได้ นางสีดาก็ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจและความจงรักภักดีด้วยการลุยไฟต่อหน้าพระรามพระสวามี ดังนั้นนอกจากความสวยงามแล้ว การพิสูจน์ความรักด้วยการลุยไฟของนางสีดา ก็เป็นสิ่งถูกนำมามาพูดกันอยู่เสมอ

2. นางสาวิตรี จากเรื่องสาวิตรี
นางสาวิตรีไม่ใช่คนดัง นางเป็นพระธิดาของท้าวอัศวบดี เมื่อโตเป็นสาว พระบิดาให้เลือกพระสวามีเองตามใจชอบ นางได้เลือกพระสัตยวานซึ่งได้รับการทำนายว่าจะมีอายุอยู่ได้อีกเพียงปีเดียว แม้จะถูกทัดทานอย่างไร นางก็ไม่เปลี่ยนใจและได้แต่งงานกันในที่สุด ต่อมาอีกปีพระสัตยวานก็ตายลงดังคำทำนาย นางสาวิตรีได้พบกับพระยมและเดินตามพระยมที่พาวิญญาณสวามีไป ระหว่างทางนางได้ใช้สติปัญญาและความเฉลียวฉลาดโต้ตอบกับพระยมด้วยถ้อยคำอ่อนน้อมไพเราะ จนพระยมใจอ่อนให้พรตามที่นางขอโดยลำดับ แต่มีข้อห้ามว่า ห้ามขอชีวิตสวามี นางได้ขอพรว่าขอให้นางมีโอรสที่เรืองฤทธิ์ร้อยองค์ พระยมกำลังให้พรเพลินก็ลืมฉุกใจคิด ให้พรตามที่ขอ นางจึงบอกต่อพระยมว่าพรสุดท้ายที่ขอนั้นไม่อาจจะสำเร็จได้ หากไม่มีสามีคือพระสัตยวาน ในที่สุดพระยมจึงต้องคืนสวามีให้
จึงเป็นอันกล่าวได้ว่านางสาวิตรีเป็นนางเอกที่เฉลียวฉลาดและรู้จักใช้วาทศิลป์จนได้ในสิ่งที่ปรารถนา และยังมีความกล้าหาญไม่กลัวพระยมที่เป็นเจ้าแห่งความตายด้วย


. นางเอื้อย จากนิทานพื้นบ้านเรื่อง ปลาบู่ทอง
ปลาบู่ทองเป็นเรื่องที่คนไทยรู้จักกันดี แม่นางเอื้อยถูกพ่อทุบตีจนตกน้ำตาย กลายเป็นปลาบู่ทองมาหาลูก ส่วนตัวนางเอื้อยเองก็ถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงและนางอ้ายลูกแม่เลี้ยงต่าง ๆ นานา นางเป็นคนที่มีความกตัญญูรู้คุณยิ่ง แม้ว่าแม่จะเป็นปลาก็ยังหาอาหารไปให้แม่ ครั้นแม่ปลาถูกฆ่าตายกลายไปเป็นต้นมะเขือ ก็พยายามบำรุงรดน้ำต้นมะเขืออย่างดี ครั้นมะเขือถูกทำลายก็หาทางนำเมล็ดไปปลูกใหม่จนกลายเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง และต่อมาได้เข้าวังเป็นสนมเอกในพระเจ้าพรหมทัต ระหว่างนี้ถูกหลอกให้มาเยี่ยมพ่อ และถูกแม่เลี้ยงทำอุบายฆ่าตายกลายเป็นนกแขกเต้าในที่สุด
ต่อมาภายหลังนางเอื้อยก็ได้ฤษีชุบชีวิตและให้ความช่วยเหลือจนได้กลับครองรักกับพระเจ้าพรหมทัตใหม่อีกครั้งนับเป็นนางเอกแสนดีแม้จะถูกทารุณกรรม แต่ก็มีความกตัญญูยิ่ง

กลุ่มที่ 2 : ประเภทรักลำบาก พลัดพรากจนถึงต้องสังเวยชีวิต ได้แก่

1. นางรจนา จากเรื่องสังข์ทอง
นางรจนาเป็นพระธิดาองค์สุดท้องในจำนวนพระธิดาเจ็ดองค์ของท้าวสามลจากเรื่องสังข์ทอง พี่ ๆ เลือกคู่ได้พระสวาได้สมน้ำสมเนื้อกันแล้ว แต่นางรจนายังเลือกใครไม่ได้ จนต้องป่าวประกาศอีกครั้ง เจ้าเงาะได้มาให้นางเลือกด้วย เนื่องจากบุพเพสันนิวาสจึงทำให้นางเห็น “รูปสุวรรณชั้นใน รูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง”นางจึงเลือกเจ้าเงาะรูปชั่วตัวดำจนถูกเยาะเย้ยถากถาง ท้าวสามลกริ้วสุด ๆ จึงขับไล่นางกับเจ้าเงาะไปอยู่กระท่อมปลายนา ทั้งสองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามประสายาก พระอินทร์ทนไม่ได้ จึงต้องแปลงร่างมาท้าตีคลีเพื่อช่วยให้เจ้าเงาะได้ถอดรูปให้ทุกคนเห็นรูปทองในที่สุด
ดังนั้นสาว ๆ คนใดไม่ยอมแต่งงานมักจะถูกล้อว่า “ทำไมไม่ลองเสี่ยงพวงมาลัย” หรือถ้าควงแฟนที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ มักถูกหาว่าเป็นนางรจนาควงเจ้าเงาะ

2. นางเมรี จากวรรณกรรมท้องถิ่นเรื่องนางสิบสอง
นางเมรีเป็นลูกนางยักษ์ ซึ่งเดิมได้เลี้ยงนางสิบสองมา นางยักษ์โกรธแค้นที่นางสิบสองหนีมา จึงได้ทำอุบายจนได้เป็นมเหสีของท้าวรถสิทธิ์ พระสวามีนางสิบสอง และใช้มารยาควักลูกตานางสิบสองเสีย ยกเว้นนางเภา – น้องสุดท้องที่ถูกควักตาเพียงข้างเดียวและเป็นคนเดียวที่ไม่ได้กินลูกเพราะความหิวโหย จนลูกคือ พระรถเสนได้เจริญวัยขึ้น เมื่อความทราบถึงพระรถสิทธิ์ พระองค์ก็ให้รับตัวเข้าวัง ต่อมานางยักษ์ได้ออกอุบายจะฆ่าพระรถเสนโดยแกล้งป่วยแล้วให้ไปเอายาในเมืองที่นางเมรีอยู่ โดยฝากสารสั่งให้นางเมรีว่า “ถึงเมืองเมื่อไรก็ให้ฆ่า(พระรถเสน)เมื่อนั้น”
ระหว่างเดินทาง พระรถเสนได้พบกับพระฤๅษีตนหนึ่ง พระฤๅษีก็ได้แปลงสารเป็นว่า “ถึงเมื่อไรก็ให้แต่งงานเมื่อนั้น” ซึ่งท้าวรถเสนเองเห็นนางก็หลงรักและแต่งงานกัน แต่เนื่องจากมีงานสำคัญคือช่วยแม่และป้าที่รออยู่ พระรถเสนจึงได้มอมเหล้านางเมรีพร้อมขโมยลูกตาและยาที่จะช่วยแม่กับป้าไป นางเมรีเมื่อสร่างเมา ตามไปก็ถูกพระรถเสนใช้ของวิเศษขัดขวางนางทำให้ตามไปไม่ได้ นางจึงคร่ำครวญจนสิ้นใจตาย ถือเป็นนางเอกที่มีรักแท้แต่เพราะน้ำเมาจึงต้องเสียทั้งคนรักและชีวิตตนในที่สุด คนจึงมักเรียกสาว ๆ ที่ขี้เหล้าว่า นางเมรีขี้เมา และก็มักเปรียบเวลาเปลี่ยนข้อความในจดหมายหรือหนังสือต่าง ๆ ว่าเป็น “ฤๅษีแปลงสาร”
3. พระเพื่อนพระแพง จากวรรณคดีเรื่องลิลิพระลอ
พระเพื่อนพระแพง - สองพระธิดาผู้เลอโฉมของเมืองสรอง ได้ยินคำร่ำลือชมรูปโฉมที่เลอเลิศของพระลอ กษัตริย์หนุ่มแห่งเมืองแมนสรวงก็เกิดตกหลุมรัก จึงใช้อุบายและทำเสน่ห์จนพระลอซึ่งแม้จะมีมเหสีอยู่แล้ว ก็ทิ้งมเหสีและบ้านเมืองตามไปหาพระเพื่อนพระแพงที่เมืองสรอง แต่ที่สุดก็กลายโศกนาฏกรรมรัก เพราะทั้งพระลอและพระเพื่อนพระแพงต่างต้องมาตายด้วยความแค้นของเจ้าย่าที่ไม่ยอมให้อภัยพ่อของพระลอที่ฆ่าสามีตน หรือปู่ของพระเพื่อนพระแพงนั่นเอง แม้จะเป็นเรื่องเศร้า แต่เมื่อใครเอ่ยถึงสาวใดว่าเป็นเหมือนพระเพื่อนพระแพง ส่วนใหญ่จะมีความหมายว่าหน้าตาคล้ายกัน หรือแต่งตัวเหมือน ๆ กันมากกว่าจะพาดพิงไปถึงเนื้อหาดังกล่าวข้างต้น
กลุ่มที่ 3 : ประเภทรักลำบาก พลัดพรากจนถึงต้องสังเวยชีวิต ได้แก่
นางวันทอง โมรา กากี จัดเป็นนางเอกประเภทสวยเอ็กซ์ คือ นอกจากสวยแล้วคงต้องเซ็กซี่ มีเสน่ห์แรงด้วย ถึงมีชายเข้าหาอยู่เสมอ จึงทำให้มีแต่เรื่องฉาวคาวโลกีย์ และถูกประณามหยามหมิ่นมากที่สุด ปัจจุบันกลุ่มนี้ได้ถูกนำมาถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ว่านางชั่วเพราะใคร หากจะพิจารณาในแง่มุมของชาย แน่นอนผู้หญิงเหล่านี้ประพฤติผิดความเป็นลูกผู้หญิง แต่ถ้าได้พินิจพิเคราะห์ถึงสภาพแวดล้อม และความจำยอมของแต่ละคนแล้วล่ะก็ อาจจะสงสารเห็นใจนางก็ได้ อย่างไรก็ดี พฤติกรรมของนางเอกเหล่านี้ก็ยังถูกหยิบมาต่อว่าหญิงอยู่เสมอ คือ
1. นางวันทอง จากเรื่องขุนช้างขุนเผน
นางวันทอง เดิมชื่อพิมพิลาไลย เป็นนางเอกในเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน (เปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อแก้เคล็ดให้หายป่วย ตอนขุนแผนไปรบ) นางถูกยื้อไปแย่งมาระหว่างขุนแผน และขุนช้าง จนในที่สุดพระพันวษาต้องให้นางเลือกว่าจะอยู่กับใครระหว่างขุนแผนหรือขุนช้าง แต่นางวันทองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะถึงแม้ขุนแผนจะเจ้าชู้จนมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งหึงหวงกันอยู่เสมอ แต่ก็เป็นรักแรกและยังมีลูกด้วยกันคือพลายงาม ส่วนขุนช้างแม้จะขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ก็มีรักจริงและรักเดียว แถมดูแลนางอย่างดีเพราะมีเงินทองร่ำรวย การที่นางไม่สามารถตัดสินใจได้เด็ดขาดนี่เอง จึงทำให้ถูกพระพันวษาสั่งประหารชีวิตด้วยความกริ้ว และเป็นเหตุให้ถูกประณามว่า เป็นวันทองสองใจบ้าง นางวันทองสองผัวบ้าง ทั้ง ๆ ที่ชีวิตนางวันทองน่าเห็นใจไม่น้อย เพราะถูกสองหนุ่มยื้อกันไปยื้อกันมา แม้ไม่เต็มใจ แต่ก็อยู่ในภาวะจำยอมเพราะช่วยตัวเองไม่ได้
2. นางโมรา จากเรื่องจันทโครพ
เรื่อง จันทโครพ เจ้าชายจันทโครพได้ไปศึกษาเล่าเรียนอยู่กับพระฤๅษีตนหนึ่งจนสำเร็จวิชา อาจารย์เลยให้ผอบทองซึ่งมีสาวสวยคือนางโมราอยู่ข้างใน โดยพระฤษีได้กำชับว่าอย่าเปิดผอบระหว่างทาง แต่จันทโครพห้ามความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ จึงเปิดผอบออกมาเห็นนางโมราก็ตกหลุมรักและได้นางเป็นชายาที่กลางป่านั่นเอง แต่ขณะที่ทั้งคู่เดินทางกลับเมือง ได้เจอโจรป่าเข้า เลยจึงถูกปล้นหวังจะชิงนางโมรา ทั้งสองได้ต่อสู้กันขึ้น ท้ายสุดพระขรรค์หลุดจากพระหัตถ์ของจันทโครพ จันทโครพตะโกนให้นางส่งพระขรรค์ให้ แต่นางกลับส่งให้โจรจนฆ่าจันทโครพตาย ส่วนโจรเมื่อได้นางโมราแล้ว เกิดไม่แน่ใจกลัวถูกทรยศ จึงแอบหนีนางไป ทำให้นางต้องระหกระเหินหิวโหยอยู่ในป่า พระอินทร์จึงแปลงเป็นเหยี่ยวคาบชิ้นเนื้อมาลองใจ ว่าให้ชิ้นเนื้อแล้วนางต้องมาเป็นภรรยา นางโมราก็ไม่แสดงอาการขัดข้อง พระอินทร์เห็นเช่นนั้น จึงโกรธว่าเป็นหญิงมักมากในกามคุณ ไม่เลือกว่าโจรหรือสัตว์ แล้วสาปนางโมราให้กลายเป็นชะนีส่งเสียงร้องโหยหวนว่า “ผัววว........" นางโมราจึงเป็นอีกนางหนึ่งที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นหญิงไม่ดี เป็นคนหลายใจ และที่ว่าชะนีร้องหาผัวก็มาจากเรื่องนี้นี่เอง
3. นางกากี จากเรื่องกากี
กากีเป็นนางเอกที่อื้อฉาวที่สุดก็ว่าได้ นอกจากจะมีรูปกายงดงามราวกับเทพธิดาแล้ว นางยังมีกลิ่นกายหอมเป็นเสน่ห์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ชายใดที่แตะต้องสัมผัสนางกลิ่นกายนางก็จะหอมติดชายคนนั้นไปถึงเจ็ดวันเลยทีเดียว นางกากีเป็นพระมเหสีของท้าวบรมพรหมทัต ซึ่งโปรดการเล่นสกามาก และมีพระยาครุฑเวนไตยซึ่งแปลงร่างเป็นมานพรูปงามมาเล่นสกาอยู่ด้วยเนืองๆ จนวันหนึ่งเล่นเพลิน มิได้ไปหานางกากี นางจึงมาแอบดู และสบตาเข้ากับพระยาครุฑแปลง ต่างก็เกิดอาการหวั่นไหว ภาษาสมัยใหม่ก็ต้องว่าเกิดอาการ”ปิ๊ง”กัน ต่อมาพระยาครุฑได้บินมาลักพานางไปอยู่ที่วิมานฉิมพลี ทำให้ท้าวพรหมทัตกลัดกลุ้มพระทัย คนธรรพ์นาฏกุเวร (คนธรรพ์คือเทวดาชั้นผู้น้อยที่มีความชำนาญด้านดนตรี) ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของท่านท้าวก็อาสาจะพานางกลับมาให้ จึงได้แปลงตัวเป็นไรแทรกขนครุฑตามไปวิมานของครุฑ ครั้นพระยาครุฑบินออกไปหาอาหาร นาฏกุเวรคนธรรพ์ก็ออกมา แต่แทนที่จะพานางกลับเมือง กลับเกี้ยวพาและเล้าโลมนางจนได้เสียกัน แล้วกลับมารายงานท่านท้าวว่านางกากีจะอยู่กับครุฑและตนได้เสียกับนางแล้วเพื่อให้ครุฑรังเกียจนาง ท่านท้าวก็โกรธแต่ทำอะไรมิได้ ต่อมาพระยาครุฑแปลงมาเล่นสกาอีก ก็ถูกคนธรรพ์เล่นพิณเยาะเย้ย เมื่อสอบถามได้ความจริง พระยาครุฑก็โกรธนางกากี นำกลับมาปล่อยไว้ในเมือง ครั้นท่านท้าวเห็นนางก็ว่าถากถางและนำนางไปลอยแพกลางทะเล ต่อมานางได้รับความช่วยเหลือจากนายสำเภา ซึ่งได้รับนางเป็นภรรยา แต่เคราะห์กรรมนางก็ยังไม่หมด ต่อมาถูกนายโจรมาลักพาตัวไปเพราะหลงใหลในความงาม ปรากฏว่าในหมู่โจรก็เกิดการแย่งชิงนางขึ้นมาอีก นางหนีไปได้ ต่อมาได้เป็นมเหสีของท้าวทศวงศ์ กษัตริย์อีกเมือง สุดท้ายปรากฏว่านาฏกุเวรที่ได้ครองเมืองแทนท้าวบรมพรหมทัตที่สวรรคตลง ก็ตามไปชิงนางคืนมาและฆ่าท้าวทศวงศ์เสีย เรื่องก็จบลง นับดูแล้วนางกากีมีสามีถึง ๕ คน แสดงว่าต้องเป็นคนที่เซ็กซี่มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างมาก จึงต้องตกระกำลำบากถูกสังคมประณามเพราะเสน่ห์แรงเกินไปนี่เอง
คนสุดท้ายนี้ ต่างไปจากกลุ่มข้างต้น เพราะนอกจากจะเป็นสามัญชนคนธรรมดาแล้ว ยังแสนจะขี้เหร่ ชนิดพระเอกไม่มองแล้วยังกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา อีกด้วย คือ นางแก้วหน้าม้า จากนิทานพื้นบ้านเรื่องแก้วหน้าม้า
ในเรื่องกล่าวถึงพระเอกคือพระปิ่นทองไปทรงว่าวแล้วสายป่านเกิดขาด ว่าวลอยไปตกหน้าบ้านนางแก้วหน้าม้า พระปิ่นทองตามมาขอคืน นางก็ยืนข้อเสนอว่าต้องสัญญาว่าจะรับนางไปเป็นมเหสีในวังจึงจะคืนว่าวให้ พระปิ่นทองก็แสร้งรับปากเพื่อหลอกเอาว่าวคืน นางแก้วรอแล้วรอเล่า ก็ไม่เห็นมีใครมารับ ก็ขอให้พ่อแม่ช่วย พ่อแม่ก็ไปให้ ท้าวภูวดลพ่อพระปิ่นทองทราบเรื่องก็พิโรธ แต่พระมเหสีนันทามีความยุติธรรม ก็ให้ไปรับนางแก้วเข้าวัง เพราะถือว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ซึ่งเมื่อนางแก้วเข้าวังแล้วก็ไปทำเรื่องต่างๆนานา แม้ท้าวภูวดลและพระปิ่นทองจะพยายามหาทางกำจัดนางด้วยการให้ไปเอาเขาพระสุเมรุมา นางก็นำมาได้ และยังได้พบฤษีช่วยถอดหน้าม้าให้กลายเป็นสาวสวย ซึ่งเนื้อเรื่องยังดำเนินไปอย่างสนุกสนานเต็มไปด้วยความเก่งกาจของนางแก้วหน้าม้าที่ได้ของวิเศษมาจากฤษี จนท้ายที่สุดก็ได้จบด้วยความสุข ซึ่งเมื่อเอ่ยถึงนางแก้วหน้าม้า มักจะหมายถึงหญิงที่มีนิสัยหรือกิริยาไม่เรียบร้อย กระโดกกระเดก ซึ่งบางทีก็เรียกว่า ม้าดีดกะโหลก
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ “นางในวรรณคดีไทย” ซึ่งยังมีอีกหลายคน แต่ละคนก็มีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันไป บ้างก็เป็นนางเอก อย่างนางบุษบา นางมโนราห์ บ้างก็เป็นนางรอง อย่างนางจินตะหรา นางสร้อยฟ้า นางละเวงวัณฬา เป็นต้น ซึ่งเรื่องราวโดยย่อดังกล่าวคงทำให้เด็ก และเยาวชนตลอดจนผู้สนใจได้รู้จักนางเอกในวรรณคดีเพิ่มขึ้น รู้ความเป็นมาของคำกล่าวหรือสำนวนว่ามาจากไหน โดยเฉพาะการกล่าวอ้างถึงนางเอกยอดนิยมที่มักถูกพูดถึงอยู่เสมอ


http://poobpab.com/content/gred_wan_ka_dee/nangeeg.htm

สาวคนแบบไหน ปลุกเร้าใจชาย




คยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมีแฟนเร็วจัง? แถมยังแต่งงานปุ๊บปั๊บ ทั้งที่บางทีหน้าตาก็ไม่ได้ เอื้ออำนวยให้มีแฟนซะหน่อยhttp://www.numwan.com/lovelove แต่อย่างว่าละน่ะ เขาหรือเธอที่ว่านี้อาจมีบางอย่าง เช่น นิสัยดี หรือจิตใจดี จนเป็นที่ปรารถนาของ ใครบางคนก็ได้ใช่ป่าว ขณะที่พวกหน้าตาดี๊ ดีบางทีกลับมีความรักไม่ยั่งยืนซะงั้นแหละ เค้าถึงว่า โลกนี้นานาจิตตังไงล่ะ


งั้นเรามาหาคำตอบกันเถอะว่า มีอะไรในตัวผู้หญิงบ้างน้า ที่ทำให้ผู้ชายหลงเสน่ห์เธอทันที และอย่างถอนตัวไม่ขึ้นซะด้วย ก็จะไม่ให้เขาสนใจหล่อนได้ไงในเมื่อ เธอเป็นผู้หญิงที่ปลุกเร้า อารมณ์รัญจวนของเขา ได้นี่นา แล้วไงล่ะ สาวที่ว่าจะมีรสนิยม, นิสัยและพฤติกรรมแตกต่างจากหญิงธรรมดาทั่วไป จนทำให้เขาหลงใหลได้ปลื้มสุดๆ ก็เพราะ...


1. หล่อนมีเสียงพูดที่เซ็กซี่จับใจผู้ชายน่ะชอบที่จะได้ยินโทนเสียงเซ็กซี่ของผู้หญิง ไม่ว่าเสียงนั้นจะห้าวเล็กๆ หรืออ่อนหวานก็ตาม แค่เสียงนี้แหละทำให้ผู้ชายรู้สึกเหมือนว่าตัวเขากำลังถูกเธอสัมผัสและลูบไล้เชียวนะหนุ่มๆ เมื่อได้ยินเสียงเซ็กซี่ของสาวๆเมื่อไหร่ คุณเอ้ย เสียงหล่อนจะทะลุทะลวงจนระบบการฟังของเขาไม่ ยอมฟังอย่างอื่นเลยเชียว เสียงที่เซ็กซี่เป็นไงน่ะเหรอ คิดถึงภาพลีฟ ไทเลอร์ นางเอกในเรื่องลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์เอาละกัน


2. หล่อนมีทรวงอกงดงามจนชวนให้อยากซุกไซ้ลองไปถามผู้ชายดูสิ ว่าชอบส่วนไหนของผู้หญิงมากที่สุด คำตอบแรกๆ คงหนีไม่พ้น ดวงตากับหน้าอกหน้าใจ ของพวกเธอน่ะซี้ จะเป็นอะไรซะอีกล่ะ บางครั้งเวลาหนุ่มๆเจอผู้หญิง เขาจะมองหน้าอกเธอก่อนที่จะมองหน้าตาด้วยซ้ำ โถ...สิ่งนี้คงทำให้เลือดลมสูบฉีดของเขาดีขึ้นแหงเลยมิน่า สาวบางคนถึงยอมลงทุนไปทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก หรือไม่ก็ฉีดฮอร์โมนเร่ง การเจริญเติบโตกันจัง แล้วมีนะที่สาวบางคนไม่ได้ไปทำศัลยกรรมความงาม ตรงนี้เพื่อตัวเองแต่เพื่อแฟนต่างหากล่ะ เอาใจถึงปานนี้ แต่หนุ่มบางคนยังแอบไปมีกิ๊ก ให้แฟนสาวช้ำใจเล่นก็เยอะ


3. หล่อนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น จนพวกเขาแอบมองเห็นสัดส่วนบางแห่งของเธอ เชื่อมั้ยว่า มีหนุ่มน้อยคนที่ไม่เคยจินตนาการถึงเรือนร่างเปลือยเปล่าของเพศตรงข้าม ดังนั้น ถ้าได้ เห็นสาวๆ แต่งตัวหยั่งกะอากาศรอบตัวเธอมันร้อนจัดจึงต้องใส่เสื้อเอวลอยและนุ่งยีนเอวต่ำ ขนาดนี้ก็ต้องน่ามองอยู่แหงๆ อ๋อ เป็นงี้เอง สาวๆบางคนถึงชอบนุ่งสั้นกันจัง


4. หล่อนมีบั้นท้ายแสนเร้าใจใช่ ผู้ชายชอบแอบมองบั้นท้ายของสาวๆ ทำไมน่ะเรอะ เพราะเป็นอีกสัดส่วนนึงที่บอกว่าเรือนร่างของเธอโค้งเว้าและต่างไปจากผู้ชายน่ะซี แถมชายบางคนไม่ใช่แค่มองบั้นท้ายด้วย แต่เล่นเดินตามเพื่อจะได้เห็น “บั้นท้ายดิน ระเบิด” นั้นนานๆ ก็มีเหมือนกัน แต่ระวังหน่อย ถ้าตามไปมองธรรมดาสักก้าวสองก้าวก็ไม่เป็นไร แต่ อย่าตามจนเข้าขั้นคุกคามหรือก่อกวนความสงบของหล่อนละกัน ชื่นชมน่ะดี แต่ถ้าคิดร้ายในใจ มีสิทธิ์เป็นเรื่องนะยะ


5. หล่อนเหมือนดาวโป๊ แล้วเพศตรงข้ามจะอดใจไม่มองไหวรึแหงสิ...ผู้ชายมักเตะตาผู้หญิงที่ดูคล้ายเป็นดาราในหนังสำหรับผู้ใหญ่ทั้งนั้นแหละ ดังนั้น ถ้าสาวคนไหนหน้าตาไปคลับคล้ายคลับคลา (อย่างไม่รู้ควรเรียกว่า โชคดีหรือโชคร้าย) ดาราหนังอาร์ หรือเอ็กซ์ หนำซ้ำยังแต่งตัวเซ็กซี่หน่อยๆด้วยแล้ว หล่อนย่อมเป็นจุดสนใจของหนุ่มๆแหงแก๋ รับรองจะมีคนเข้าไปทักทายอยากรู้จักหล่อนกันเกรียวกราวเชียวล่ะ ไปเหมือนใครก็ไม่เหมือน ดั๊นเหมือนดาวโป๊เนี่ยนะ


6. หล่อนขับมอเตอร์ไซค์ก็เป็นด้วยสาวที่นอกจากจะขับรถยนต์เป็นแล้ว ยังขับรถมอเตอร์ไซค์ได้ด้วยนี่ ย่อมเป็นสาวที่ผู้ชายอยากรู้จักแน่ๆ เพราะพวกเขาน่ะ สนใจซิ่งรถกันจะตาย กระนั้น รถมอเตอร์ไซค์ที่ว่า คงไม่ใช่รถธรรมดา แต่ต้องเป็นรถสไตล์คันโตๆและเท่ๆหน่อย ไม่ใช่รถแบบที่เธอใช้แค่ไปจ่ายตลาดนะ หยั่งงั้นมันจิ๊บจ๊อยเกินไป อ้อ แต่ถ้าเธอยังขับไม่เป็นแต่เต็มใจให้เขาขับพาหล่อนไปไหนต่อไหนด้วยกันก็โอเคนะ


7. หล่อนไม่ค่อยแสดงอาการประสาทกิน ให้เห็นมากนักอารมณ์พลุ่งพล่าน, โวยวาย, ปล่อยกรี๊ด, ร้องไห้ บ่อย และฟูมฟาย ย่อมไม่มีหนุ่มคนไหนอยากเข้าใกล้สาวที่เป็นแบบนี้หรอก เออ ถ้านานๆเป็นที เพราะใช่ว่าคนเราไม่ว่าหญิงหรือชายจะประสาทกินไม่ได้ก็ยังพอรับไหว แต่ถ้าอาการนี้เป็นบ่อยๆ ต่อให้ใครๆก็ส่ายสะโพก เอ้ย ส่ายหน้าเพราะทนไม่ได้ล่ะก็ ไม่มีหนุ่มหน้าไหนอยากจะควบคุมพายุอารมณ์ของหล่อนหรอก แม้เขาเป็นคนอดทนสูงก็เหอะ


8. หล่อนไม่ใช่ผู้ยิ้ง ผู้หญิงตลอดเวลา เฮ่อ ค่อยยังชั่วมีหนุ่มน้อยคนแน่ๆที่จะรักผู้หญิงซึ่งชอบทำ ตัวสวยเสมอ, ช่างพูดได้ทุกเรื่อง หรือทำตัวไม่ติดดิน แม้ผู้ชายมักสนใจสาวสวยๆก่อนก็เหอะ แต่ถ้ายิ่งรู้จักก็ยิ่งรู้ว่า หล่อนไม่ยอมทำตัวสบายๆซะบ้าง เช่น ไม่ยอมออกนอกบ้านถ้าไม่ได้เมกอัพหน้าตาให้เช้งกระเด๊ะ อยู่นั่นแหละ แถมเวลาจะไปไหนมาไหนด้วยกัน ก็ต้องไปยังสถานที่ที่โก้หรูเท่านั้น ก็รอให้ชายรวยๆไปจีบละกัน คนปอนๆจีบหล่อนไม่ติดหรอกผู้ชายบางคนก็อยากมีหวานใจที่ทำอะไรบ้าๆ บอๆก ะเค้ามั่งน่ะซี้สุดท้ายและที่สำคัญ


9. หล่อนชนะใจคนใกล้ตัวได้ไม่ยาก“ชนะใจและเป็นที่ชื่นชอบ” ในที่นี้ ไม่ได้หมาย ความในเชิงเซ็กซี่นะ แต่เพราะหล่อนมีนิสัยที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้มากกว่า ยิ่งถ้าเธอสามารถเอาชนะใจหนุ่มสักคนได้แล้ว หล่อนยังเอาชนะใจพ่อแม่และเพื่อนๆ ของเขาด้วยอีก นี่สิ คือคุณสมบัติของหญิงที่ผู้ชายอยากคบด้วยไปนานๆ ไม่ใช่แค่อยากได้เป็นคู่ควงชั่วคราว


เซ็กซ์เร็วเสี่ยงมะเร็ง





เซ็กซ์เร็วเสี่ยงมะเร็ง


แพทย์เผยหญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกปีละ 6,000 คน ยิ่งมีเซ็กซ์เร็ว ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น พบเด็ก 12 ขวบก็เป็นแล้ว รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ หัวหน้าหน่วยมะเร็งนรีเวช ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า สถานการณ์ของผู้หญิงไทยที่เป็นมะเร็งปากมดลูกนั้น มีคนไข้ใหม่ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นถึงปีละ 6,000 คน และมีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคนี้ถึงวันละ 7 คน


ผู้หญิงส่วนใหญ่คงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องมะเร็งปากมดลูกมาบ้าง แต่มักคิดกันว่าเป็นเรื่องไกลตัว และคิดว่าตนไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงเพราะมีสามีคนเดียว แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นได้" รศ.นพ.วิชัยกล่าว รศ.นพ.วิชัยกล่าวว่า โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่ทำให้ผู้หญิงไทยเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยปกติโรคนี้มักไม่ค่อยแสดงอาการจน 10-15 ปีแล้ว หรือแสดงอาการเมื่อก้าวไปเข้าระยะที่ 2 หรือ 3 ไปแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อ Human Papilloma Virus หรือ "เอชพีวี" ซึ่งชอบอยู่บริเวณผิวที่มีความชุ่มชื้น ไม่ว่าจะเป็นซอกเล็บ ปาก โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนโสด แต่งงาน และมีคู่นอนคนเดียว หรือมีคู่นอนหลายคน ก็มีโอกาสติดไวรัสชนิดนี้ได้ทั้งนั้น แต่กรณีของคนที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งมีโอกาสมีคู่นอนหลายคน จะมีความเสี่ยงสูงมากกว่าคนอื่น


ปัจจุบันผู้ป่วยโรคนี้มีแนวโน้มอายุน้อยลงมาก สถิติล่าสุดในประเทศไทยคือ พบเด็กหญิงอายุ 12 ปี เป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว มะเร็งปากมดลูกจึงเป็นโรคที่ผู้หญิงควรพึงระวัง วิธีการป้องกันโรคนี้ที่สำคัญคือ อย่าอายที่จะไปพบหมอเพื่อตรวจ Pap Smear เป็นประจำทุกปี ตรวจว่าติดเชื้อเอชพีวีหรือไม่ พยายามลดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย การมีคู่นอนหลายคน การสูบบุหรี่ และถ้าสามารถฉีดวัคซีนป้องกันเอชพีวีได้ก็จะเป็นผลดีมากขึ้น"


หมอวิชัยกล่าวว่า ในประเทศแคนาดามีการรณรงค์อย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงขนาดมีภาพยนตร์ที่ทำออกมาเพื่อกระตุ้นให้เด็กผู้หญิงที่อายุครบ 13 ปีทุกคนต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งรัฐบาลเขาฉีดให้ฟรี เพราะเห็นความรุนแรงและทรมานจากการป่วยโรคนี้ และเห็นผลเลยว่าทำให้จำนวนผู้หญิงแคนาดาที่ต้องเสียชีวิตจากโรคมะเร็งชนิดนี้ลดลงเป็นอันดับ 7 ไม่ใช่อันดับ 1 เหมือนในไทย ตนอยากให้รัฐบาลมีนโยบายที่สนับสนุนเรื่องการป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ชัดเจนให้กับผู้หญิงไทย


ด้านนางวรรณา เหลืองชัยชาญ หนึ่งในผู้ติดเชื้อมะเร็งปากมดลูก เล่าว่า ตนเติบโตมาในครอบครัวอบอุ่น มีความรักนวลสงวนตัว แล้วต่อมาก็พบรักและแต่งงานอยู่กินกับสามีเดียวเมื่ออายุ 23 ปี จนประมาณ 10 ปีต่อมา วันหนึ่งเกิดอาการตกขาวมากจนไหลมาตามขา จึงได้พบแพทย์ตรวจภายใน ทำให้พบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกขั้น 1B ที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ทันที แต่ต้องทำคีโมนาน 2 เดือน เพื่อให้ชิ้นเนื้อร้ายมีขนาดเล็กลงก่อนที่จะทำการผ่าตัดใหญ่ หลังจากผ่าตัดแล้ว หมอไม่ได้ระบุว่าจะหายขาด ช่วงปีแรกๆ ต้องไปตรวจทุก 2 เดือน จนปัจจุบัน 8 ปีแล้วก็ต้องตรวจทุก 6 เดือน และต้องคอยดูแลตัวเองตลอดเพื่อไม่ให้โรคกำเริบอีก.



ผู้หญิง จะไวต่อการกระตุ้น ที่จุดไหนมากที่สุด




ผู้หญิง จะไวต่อการกระตุ้น ที่จุดไหนมากที่สุด


เป็นเรื่องที่ชายหลายคนอาจจะรู้สึกแปลกใจว่าจุด ที่กระตุ้น ความรู้สึกของฝ่ายหญิง ให้เหมือนไฟที่ลุกฮือขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ไม่ได้มีเพียงจุด......ที่ทุกคนรับทราบกันดี


แต่จะยังมีจุดอื่นอีกหลากหลายบนเรือนร่าง ที่สามารถ สร้างอารมณ์ตื่นเต้นและความรู้สึกตื่นตัวอย่างรวดเร็วได้ต่างกับฝ่ายชาย ที่จุดสร้างความพึงพอใจทางเพศ และความตื่นตัวทางเพศ มักจะจำกัดอยู่เพียงบริเวณ ปลายและลำอวัยวะเพศ อัณฑะ รอบรูทวารหนัก เท่านั้น หลายคนคงสงสัยโดยเฉพาะในหมู่ผู้ชาย และมักมีหัวข้อในการสนทนา เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ต่างคนมักจะคาดเดา และพูดกันไป ถึงจุดซ่อนเร้นต่างๆบนเรือนร่างบ้างก็เคยได้มีโอกาสทดสอบด้วยตัวเองมาแล้ว


รวบรวมเอาจุด ต่างๆ10 ตำแหน่งที่ถือว่าเป็นจุด อ่อน ของคุณผู้หญิง เท่าที่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จุดดังกล่าว ถ้าได้รับการกระตุ้น อย่างถูกวิธี ไม่ว่ารายไหนรายนั้นเป็นได้เรื่อง


10.บริเวณต้นขาด้านใน ต้นขาด้านในเป็นตำแหน่งที่มีปลายเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงมาก การได้รับการกระตุ้นอย่างแผ่วเบาไม่ว่าจากการ ลูบไล้ หรือ โลมเลีย สามารถจุดประกายอารมณ์ ของคุณผู้หญิง ให้เตลิดเปิดเปิงไปได้ ตำแหน่งนี้ อาจจะลดต่ำลงมาถึงบริเวณข้อพับเข่าด้านหลัง แต่อย่าลืมนะเนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไวต่อความรู้สึกมาก การหยิก จิกเนื้อเพียงเบาๆ อาจจะทำให้ เกิดอาการเจ็บได้อย่างมาก คุณผู้ชาย ที่กำลัง เมามันอย่าเผลอ ไปกัดเอาเนื้อบริเวณนี้เข้า ก็แล้วกัน


9.ข้อพับเข่าพบว่า ตำแหน่งนี้เป็นอีกตำแหน่ง คุณผู้ชายอาจจะคาดไม่ถึง ตำแหน่งนี้ จะไวมากต่อการ สัมผัสกับลมเป่าหรือการแทะเล็มเบาๆจากริมฝีปาก รับรองคุณผู้ชายจะคาดไม่ถึง ถึงอาการและปฏิกิริยาตอบสนองจากฝ่ายหญิง ผมให้ลับตานึกภาพกันเอาเอง


8.แก้มก้นแน่นอนผู้หญิงส่วนใหญ่ ชอบที่จะให้ มีการนวดคลึงบีบเค้นบริเวณแก้มก้น ระหว่างมีบทรัก บ้างก็ชอบให้ใช้ความแผ่วเบา จากริมฝีปาก ของฝ่ายชายลูบไล้ ไปมา บ้าง ก็ชอบให้ใช้ส่วนอื่น.....มาสัมผัส คุณคงจะเคยเห็น ในภาพยนตร์ฝรั่งอยู่บ่อยๆ ที่มีการ ฉายภาพ Close up เข้ามาที่มือของพระเอกในขณะที่ กำลังบีบเค้น แก้มก้น ของนางเอก ในฉากเต้นรำกลางงานเลี้ยงที่หรูหรา การบีบเค้น นัยว่า จะทำให้ฝ่ายหญิง รู้สึกเคลิ้มสบายและผ่อนคลายมากกว่า การจะปลุกสร้างอารมณ์ที่ตื่นเต้น แต่อย่างไรก็ตามจุดนี้ถือเป็น องค์ประกอบที่สำคัญในการที่จะสร้างความอุ่นใจ และ และพิสูจน์ความไว้ใจและมอบใจจากฝ่ายหญิง ให้ฝ่ายชายได้เป็นอย่างดีหากไม่มีการปัดป้องจากฝ่ายหญิง


7.ซอกต้นคอการกระตุ้นด้วยลมหายใจ ร่วมกับ เสียงครวญเบาๆ ที่ตำแหน่งต้นคอ ไล่เรียงไปจากด้านข้างสู่ด้านหลัง ขณะที่มือคุณ ให้การสัมผัสที่ชายผมบริเวณท้ายทอย สามารถสร้างอารมณ์ตื่นเต้นและความต้องการ ขึ้นมาได้อย่างทันที ราวกับการจุดผลุอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดทะยานพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างฉับพลัน


6.ใบหูการใช้ริมฝีปาก ลิ้น กระตุ้นที่ใบหูอย่าง แผ่วเบา ร่วมกับ การ หายใจเป่าลมเข้าไปในรูหูอย่างเบาๆและต่อเนื่องสักระยะ หรืออาจจะเปลี่ยน เป็น เสียงกระซิบกระซาบ แบบอาศัยลมเป่าจากการกระซิบ ทำให้ผู้หญิง นักต่อนัก สะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ รายไหนรายนั้น เสียงกระซิบอย่างแผ่วๆ ต้องเป็นเนื้อหา ที่จะให้อารมณ์คล้อยไปด้วยนะ อย่ากระซิบเป็นอันขาดว่า “ที่รักคุณน่าจะแคะขี้หูหน่อยนะ” ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างขึ้นมาให้เห็นเท่านั้นเองว่าเนื้อหา ของการกระซิบควรจะเป็นเนื้อหาที่สร้างอารมณ์มากกว่า การดับอารมณ์


5.เท้าผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลยชอบที่จะได้รับการ สัมผัส บีบนวดที่ เท้า เกาที่ ฝ่าเท้า ซอกนิ้วเท้า และ ข้อเท้า การ บีบเค้นนวดที่ส้นเท้า จะช่วยสร้างอารมณ์ อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ได้ผลชะงัด การกระตุ้น ที่บริเวณนี้ ผู้ชายบางคนอาจจะใช้ริมฝีปากจิก กัด ที่ปลายนิ้วเท้า ของผู้หญิง ระหว่างที่หญิงกำลังใช้จินตนาการในการ สร้างอารมณ์ หากคุณจะใช้ริมฝีปากประทับไปที่ฝ่าเท้า คุณต้องมั่นใจในความสะอาด เรื่องนี้ผู้ชายบางคนถึงกับ ต้องให้มีการชำระล้างอาบน้ำก่อนทุกครั้ง


4.ข้อมือผู้ชายหลายคน คงต้องตกใจ ถ้าผมบอกว่า ข้อมือ เป็นจุดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ อีกแห่งที่ฝ่ายชายอย่าละเลย คุณไม่เชื่อ ลองครั้งต่อไป ของคุณลอง ประเล้าประโลม (Foreplay) ที่บริเวณข้อมือ ดูนะ ไม่ว่าจะจาก การ สัมผัส ลูบไล้ด้วยมือ หรือ ประทับ ด้วยริมฝีปาก กัดเบาๆด้วยริมฝีปากหรือฟัน หน้า ของคุณ รับรองว่า จะเห็นผลอย่างคาดไม่ถึง


3.ถันและยอดถันจุดนี้คงไม่อยู่เหนือความคาดหมาย ทุกคนคงทราบดี ต่างกันที่วิธีการเท่านั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบและพึงพอใจ กับการถูกกระตุ้นที่ตำแหน่งนี้ ด้วยการการใช้ปาก ดูด (Sucking) เลีย(Licking) กัดเล็ม (Bitting) คุณผู้ชายอาจจะต้องเรียนรู้ในคู่ของตัวเอง ไปว่าพึงพอใจแบบใดมากที่สุด อย่าลืมอย่างนะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบความรุนแรงแบบตะกละตะกลาม กับอวัยวะส่วนนี้ของตน


2.อวัยวะเพศ ที่ คลิตอริส ไม่ว่าการใช้ปาก ลิ้น นิ้วมือ สามารถ ทำให้ เกิดความพึงพอใจถึงขีดสูงสุดได้ และยิ่งถ้าคุณได้เรียนรู้ถึงตำแหน่ง G-spot ของฝ่ายหญิงด้วย การกระตุ้นที่จุดนี้ นำไปถึงซึ่งความสุขแบบสุดยอด ได้เลย


และตำแหน่งที่จัดว่าเป็นอันดับหนึ่งคือ1.ริมฝีปากคุณผู้ชายอาจจะต้องเรียนรู้ในการกระตุ้นที่จุดนี้ให้มากที่สุด การใช้ ริมฝีปาก ทั้งบนและล่าง ลิ้น ฟัน ประทับ จิก กัด ลิ้นไล้เลีย หรือแม้แต่การดูด เบาๆ


ปฏิกิริยาบนเตียงไม่ปกติสุขของเพศหญิง




กิริยาบนเตียงที่ฝ่ายหญิงตอบสนองควรเป็นกิริยาที่ระคนไปด้วยความสนุกสุขอารมณ์ เมื่อเธออาจอึดอัดอะไรบางอย่าง แต่ไม่พูดออกมา ไม่กล้าพูดหรือไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ถึงเธอจะไม่พูด เธอก็ได้แสดงอากัปกิริยาบางอย่างออกมา นั่นแหละเป็นเงื่อนงำ หรือเบาะแส บอกคำตอบได้เลาๆ ลองทบทวนดูซิว่า คุณผู้ชายเคยเจออากัปกิริยาหรือท่าทางต่อไปนี้บ้างหรือไม่


ไม่ยอมมองฝ่ายตรงข้าม หากฝ่ายหญิงยอมให้คุณผู้ชายร่วมรัก อย่าว่าแต่ใบหน้าเลย แม่แต่ร่างกายคุณผู้ชายส่วนอื่นๆ เธอก็ไม่ได้มองมาหรือทุกครั้งที่คุณผู้ชายโน้มตัวเข้าไปเพื่อที่จะจูบ แต่เธอก็จะเบือนหน้าไปทางอื่นและหลับตา อาจเป็นไปได้ว่าเธอเขินอายและไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน หรือไม่ก็ถ้าเธอพยายามเบือนหน้าเลี่ยงริมฝีปาก อาจเป็นไปได้ว่าผู้ชายมีกลิ่นปาก หรือไม่เธอก็มีกลิ่นเสียเอง หรือไม่ก็เธออาจระคายเคืองกับหนวดเคราที่ไม่ได้โกนให้เกลี้ยงเกลาของผู้ชาย


ตอบสนองแบบขอให้จบๆ ลงไปเสียที หากผู้ชายกำลังทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถที่อยากให้ฝ่ายหญิงมีความสุข แต่อาการตอบสนองของเธอเหมือนคนที่ปลงตกต่อทุกอย่างแล้วหรือไม่ก็เอาแต่จ้องมองเพดาน นี่นับว่าควรมีการพูดคุยเพื่อหาคำตอบกันบ้าง เธออาจเป็นผู้หญิงประเภทที่เฉยๆ กับเรื่องเซ็กซ์หรือไม่ก็อาจสนใจรูปแบบการร่วมรักแบบอื่นๆ ที่ผู้ชายนึกไม่ถึง แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะบอก เช่น บางทีเธออาจชอบเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน หรือไม่ก็ผู้ชายไม่เปิดโอกาสให้เธอมีจังหวะผ่อนคลายบ้างเลย เธอจึงออกอาการเซ็ง เหมือนผู้ชายสนุกอยู่คนเดียว ลองเปลี่ยนตำแหน่งให้เธอบ้าง หรือเวลาที่เธออารมณ์ดีลองเลียบๆ เคียงๆ ให้เธอเล่าถึงจินตนาการทางเพศที่เธอใฝ่ฝันถึง


อายไม่กล้าโชว์กาย เธอไม่ยอมให้ร่างกายเปลือยเปล่าต่อหน้าผู้ชาย ต้องการปิดไฟทุกครั้งที่มีเซ็กซ์หรือต้องมีผ้าห่มคลุมตัวอยู่เสมอ ไม่ต้องสงสัยเลย ที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่าเธอไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเองและคิดว่าฝ่ายชายคงหมดอารมณ์ถ้าได้เห็นจุดบกพร่องของร่างกายตามที่เธอคิด วิธีแก้ไข คือ เปิดเผยให้เธอรู้ว่าร่างกายผู้ชายเองก็มีข้อบกพร่องเหมือนกัน เช่น มีพุง มีปาน พร้อมกับบอกเธอ แต่คุณผู้ชายก็มั่นใจว่าเธอรักคุณ ในทางกลับกัน ให้ความมั่นใจ ว่าคุณก็ชื่นชอบเรือนร่างของเธอเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้สึกอย่างนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

ไม่ยอมแสดงฝีมือ ผู้ชายทำออรัลเซ็กซ์ให้เธอ มั่นใจว่าปรนเปรอและเล้าโลมอย่างที่เธอต้องการเต็มที่แล้ว แต่เธอไม่เคยทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้ผู้ชายเลย ผู้ชายทำทุกอย่างที่รู้ว่าเป็นการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของเธอ และเธอก็มีความสุขอย่างล้นเหลือ แต่เธอไม่เคยที่จะทำให้ผู้ชายรู้สึกแบบนั้นบ้างเลย เป็นไปได้ที่เธอคิดว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายชายเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์ผู้หญิงไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิง อันดับต่อมา ผู้หญิงบางคนคิดว่าผู้ชายาสามารถตื่นตัวทางเพศได้ทันทีเมื่อเห็นผู้หญิง ดังนั้นเธอก็เลยคิดว่าไม่เห็นต้องทำอะไรอีกแล้ว เมื่อผู้ชายต้องการร่วมรัก บอกเธอไปเลยว่าคุณผู้ชายก็ชอบให้มีคนทำออรัลเซ็กซ์ให้ และคิดว่าคงจะวิเศษขนาดไหนถ้าได้รับความรู้สึกนี้จากเธอ รวมทั้งบอกด้วยว่าคุณชอบ และรู้สึกเร้าอารมณ์มากๆ อีกเหมือนกันเวลาที่เธอเป็นฝ่ายเริ่มต้นรุกเร้าคุณผู้ชายบ้างเป็นครั้งคราวเงื่อนงำจากท่าทางแปลกๆ บนเตียง


ขัดขืนไม่ยอมท่าเดียว แม้ว่าผู้ชายจะแสดงฝีมือพยายามปลุกเร้าและสร้างบรรยากาศสุดฝีมือแล้วก็ตาม แต่มันกลับไม่นำพาให้เธอรู้สึกร่วมและอยากร่วมตามไปด้วย เหตุที่พอวิเคราะห์ได้ก็คือเธอคงไม่อยากจริง ซึ่งอาจเป็นเพราะสภาพอารมณ์และร่างกายเธอนั้นไม่พร้อม หรือผู้ชายทำได้ไม่ถูกอารมณ์ถูกใจเธอหรือไม่ก็เล่นทำให้เธอถึงขั้นเจ็บตัว ทั้งนี้ก็ยังมีเหตุที่อาจจะเป็นไปได้ว่าเธอเข็ดที่คุณทิ้งเธอขึ้นสวรรค์คนเดียวน่ะสิ เธอจึงรู้สึกว่าไม่รู้จะเปลืองตัวให้คุณตักตวงความสุขเข้าตัวเองแต่ฝ่ายเดียวทำไมไม่รู้


ไร้เสียงแห่งความเสียวซ่าน โดยทั่วไปแล้ว ฝ่ายหญิงมักจะสะกดอารมณ์ให้เงียบเสียงไม่ได้หรอก ถ้าผู้ชายรู้จักปรนเปรอและจี้จุดความเสียวซ่านให้แบบตรงใจโดนอารมณ์ แต่เมื่อคุณผู้ชายทราบดีว่าการลงอารมณ์ของตัวเองออกจะเป็นทีเด็ด สาวใดโดนเป็นต้องส่งเสียงครางระคนอย่างมีความสุขสุดๆ แต่เมื่อคุณผู้ชายงัดทีเด็ดออกมาใช้ แล้วเธอกลับนิ่งประหนึ่งเป็นใบไม้ ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ปัญหาทางกายภาพที่เกิดขึ้นจากฝ่ายหญิง แบบนี้ก็ต้องถือว่าทีเด็ดของผู้ชายใช้การไม่ได้กับเธอแล้วล่ะ



วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สีอะไรที่คุณคิดว่าโรแมนติกที่สุด

สีขาว

ถ้าคุณเลือกสีขาวเป็นสีแห่งความโรแมนติก ก็เท่ากับว่าคุณได้เคลื่อนย้ายตัวเองจากความถูกผิดของสถานการณ์ด้านความโรแมนติก คุณกำลังหาความรักที่ใฝ่ฝันถึง มากกว่าจะมองหาความไม่สมบูรณ์แบบที่คนส่วนใหญ่เป็นอยู่ อาจจะหัวโบราณในความคิดที่เกี่ยวกับความรักและการติดพันใครสักคน รวมทั้งการแสดงความเป็นเจ้าของคนรักที่คุณเลือก คุณต้องการการยกย่องและความเคารพในสิ่งที่เป็นอยู่ โดยไม่สนใจในสิ่งที่คุณได้เป็น

สีขาวหมายถึงพรหมจรรย์และความบริสุทธิ์ และทำให้มีความรักเพียงหนึ่งเดียวในแต่ละครั้ง โดยเมื่อมั่นใจแล้วว่าคนรักยังบริสุทธิ์อยู่หรือเป็นคนในอุดมคติของตนเอง สีขาวในด้านบวกของความโรแมนติก คือการเข้มงวดและเคร่งครัดกับตัวเอง ดังที่ต้องการให้คนอื่นเป็นด้วย สีขาวต้องเป็นผู้นำไม่ใช่ผู้ตาม และรู้สึกว่ามันต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ และศีลธรรมของทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้อง จนกลายเป็นการจับผิดทุกคนที่อยู่แวดล้อม

สีขาวต้องเรียนรู้ที่จะเข้ากับคนอื่นให้มากกว่านี้ แทนที่จะพยายามสร้างความสัมพันธ์แปลกๆ กับคนที่คุณหวังจะอยู่ร่วมด้วย กับคนที่ไม่รู้สึกอย่างลึกซึ้งเขาจะเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด ที่จริงแล้วสีขาวคือผู้พิทักษ์รักษาศีลธรรมในสังคม และถ้าปราศจากความยึดมั่นอย่างเข้มแข็งของมัน โลกก็จะกลับสู่ยุคป่าเถื่อนเช่นในอดีต ด้านลบของสีขาวอาจจะกลายเป็นความเข้มงวดมากเกินไปต่อการกระทำ และศีลธรรมของผู้อื่น จนทำให้ต้องอยู่อย่างเดียวดาย เพราะหาทางออกไม่ได้
สีที่เหมาะกับสีขาว

ที่จริงแล้วสีขาวไม่ใช่สี แต่เป็นตัวนำสีอื่นๆ ทุกสี และมีความสามารถในการเข้ากับทุกสีในสายรุ้งได้ตามความต้องการของมัน สีดำเท่านั้นที่มีคุณสมบัติอย่างเดียวกับมัน แม้จะเป็นคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามก็ตาม เมื่อสีดำดูดซึมเอาสีที่ฉายลงมาบนตัวมัน สีขาวก็จะสะท้อนออกจากตัวมัน สีขาวสามารถสะท้อนสีใดๆ ก็ได้ตามความต้องการ ความต้องการก็คือ ความทะเยอทะยานหรือแรงกระตุ้นให้ทำเช่นนั้น ถ้าคู่ของคุณเลือกสีขาว คุณต้องเรียนรู้ที่จะถาม แทนที่จะออกคำสั่ง และให้คำแนะนำแทนที่จะบังคับ เมื่อทำเช่นนี้คุณจะได้รับทุกสิ่งที่สีขาวมอบให้คุณ
สีแดง

สีแดงคือด้านบวกของธรรมชาติทางร่างกาย และถ้าคุณเลือกสีนี้ก็แสดงว่าคุณมีความโรแมนติกด้วยความสมัครใจ จนแทบจะไม่มีใครเทียบได้ แม้เพียงแค่คิดจะทำก็ยังไม่ได้ สีแดง คือสีของความลุ่มหลงทางร่างกายและไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ความลุ่มหลงของสีแดงจะระเบิดออกมาเหมือนภูเขาไฟเมื่อเกิดรักแรกพบ แต่ก็อาจจะมอดไหม้กลายเป็นถ่านขมุกขมัวได้ ความลุ่มหลงเท่านั้นที่จะทำให้เบื่อหน่ายได้ง่าย

ด้านบวกของสีแดงจะรักทุกส่วนที่เป็นอยู่ และด้วยความตั้งใจที่คนอื่นอาจจะรู้สึกว่ามันมากเกิน แม้ว่ามันมักจะมีอยู่กับร่างกายมากกว่าจะอยู่กับจิตใจก็ตาม สีแดงจะยอมรับทุกส่วนของตัวมันและหวังจะได้รับสิ่งนี้จากคนรักด้วย “ความหุนหันพลันแล่น”ความใจร้อน และ “รักการผจญภัย” ซึ่งสามารถจะทำให้ตัวมันเองตกลงไปอยู่ในความลำบากได้ เพราะผูกมัดเอาร่างกายและจิตใจเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมด

สีแดงจะชอบความตื่นเต้น ความหลากหลาย และการเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นเฉพาะในเรื่องของคนรัก แต่หมายถึงทุกอย่างที่อยู่รอบตัวและกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ จนความโรแมนติกแบบสีแดงต้องมองหาที่ใหม่ ซึ่งจะสามารถกระตุ้นความรู้สึกของเขาได้ สีแดงจะเป็นคนรักที่มีความเร่าร้อน ซึ่งจะออกหาคู่ที่ทำให้ตนเองพอใจ

แต่ในด้านลบสีแดงมักจะเห็นแก่ตัว ต้องการอิสระเมื่อพบสิ่งที่พอใจ ด้วยความที่ชอบทำอะไรตามใจตัว สีแดงจึงมักจะต้องการคู่เข้ากับเขาได้ หรือยอมให้เขาเป็นอิสระ ถ้าคู่ของคุณเลือกสีนี้ จงระวังไว้ว่าเขาหรือเธอจะชอบทำตัวเป็นเจ้าของ และต้องการข้อผูกมัดต่างๆ รวมทั้งความสนใจจากคุณ โดยที่เขาหรือเธอจะยอมรับความคิด และคำแนะนำของคุณ ถ้าคุณทำอย่างนี้กับเขาหรือเธอด้วย
สีที่เหมาะกับสีแดง

สีแดงจะเหมาะสมที่สุดกับสีแดงเฉดอื่นๆ ซึ่งสามารถจะเข้าได้ดีในเรื่องของพลังงานและแรงกระตุ้นด้านความรัก หรือจะเป็นสีดำหรือขาวก็ได้ สีดำจะเคารพสีแดง เพราะมันมีความสามารถในการดูดซึมพลังงานที่สีแดงมักจะชอบนำมาใช้ในบางครั้ง ส่วนสีขาวก็จะสะท้อนพลังของสีแดงออกไป หรือทำให้สีแดงอ่อนลงเป็นสีชมพูได้ สีแดงควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับสีฟ้า และเขียว แต่อาจจะผสมกับน้ำตาลบางเฉดได้
สีชมพู

สีชมพู คือสีของรักแท้ เพราะมันรวมเอาผู้นำสี และความบริสุทธิ์ของสีขาวกับพลังทางร่างกายของสีแดงได้ โดยมันจะให้พลังของสีขาวแสดงตัวเองออกมาทางการกระทำทางร่างกายของสีแดง จนเกิดสมดุลของพลังอารมณ์และร่างกายที่ยั่งยืน แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม คุณจะเป็นคนที่อบอุ่น เข้าใจคนแต่ละคนพร้อมที่จะให้และรับ ในเรื่องความรักคุณจะเป็นที่ที่คนรักของคุณจะซบลงร้องไห้ทุกวัน ทั้งทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับความสงสารตัวเอง และความเศร้าโศกได้ด้วย

คุณจะมีเวลา ความอดทน และความจงรักภักดีที่จะมอบให้กับคนรัก เพื่อที่คุณจะสามารถช่วยเหลือเขาได้ตลอดชีวิต และนานตราบที่เขารู้ว่าความพยายามของคุณไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว คุณจะอยู่เสมอเมื่อเขาต้องการคุณ เพราะสีชมพูเป็นสีของความรัก คุณจึงทำให้ตนเองต้องการความเปิดเผยและแสดงออกถึงความรู้สึกของคนรักที่มีต่อคุณ และจะกลายเป็นความขุ่นเคือง ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาปกปิดไม่ให้คุณรู้ถึงความสุขหรือความเจ็บปวด ด้วยเหตุที่คุณเป็นคู่ครองที่ห่วงใย และมีส่วนร่วมในความรู้สึกนั้นด้วย ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเลวก็ตาม

สีชมพูนั้นอบอุ่นมากจนใครๆ ต้องหามาเมื่อต้องการใครสักคน แม้จะมีความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างมากก็ตาม แต่มันก็จะให้เหมือนรู้ว่าได้รับความไว้วางใจและความเคารพแล้วเท่านั้น ถ้าคู่ของคุณเลือกสีชมพู คุณควรจะรู้ว่าตัวเองโชคดีมากที่คุณหาคู่ที่คอยช่วยเหลือคุณ ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกายได้ เพราะเขาจะคอยอยู่เคียงข้างคุณทุกครั้งที่คุณต้องการ และทุกสิ่งที่เขาต้องการเป็นการตอบแทนก็คือ สิ่งที่คุณเห็นว่าเขาทำเพื่อช่วยคุณ และแสดงความพอใจรวมทั้งความเคารพของคุณให้เขาเห็นเมื่อมีโอกาส สีชมพูคือ สีของรักแท้ คุณจงจดจำวันครบรอบต่างๆ ของสีชมพูและโอกาสพิเศษต่างๆ ด้วย เพราะสีชมพูจะจำทุกอย่างไว้ ถ้าคุณละเลยหรือลืมแสดงความรักต่อสีชมพูเช่นที่เขากระทำต่อคุณ ก็เป็นความผิดของคุณเอง เมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าเขาจากไปค้นหาสิ่งที่คุณให้เขาไม่ได้
สีที่เหมาะกับสีชมพู

สีชมพูมีความสามารถในการเข้ากันได้กับทุกสี และมักจะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับเมื่อมีความรัก มันจะดีกับสีขาวและสีแดงมากที่สุด เพราะมันคือการรวมตัวของสีทั้งสอง กับสีเหลืองมันจะกลายเป็นสีของร่างกาย และการแสดงออก ทางปรัชญาของสีเหลืองจะไม่ปล่อยให้มันแสดงความรู้สึกที่อยู่ทั้งหมดออกมา มันสามารถจะช่วยรักษาสีเขียวและฟ้าได้ อีกทั้งยังสอนสีน้ำตาลให้รู้จักกับการให้ นอกจากนี้ยังสามารถคลี่คลายความลับที่สีดำเก็บสะสมไว้ได้
สีส้ม

ความโรแมนติกแบบสีส้มต้องการอยู่เฉยๆ แล้ววางแผนเกี่ยวกับเวลาของความโรแมนติก และไม่เคยทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา เพราะมักจะมีปฏิกิริยากับเหตุการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ ความปรารถนาที่จะควบคุมแนวทางของความโรแมนติกมักจะล้มเหลว ซึ่งก็หมายความว่าแผนการใช้ไม่ได้ จากนั้นก็จะมีชีวิตอยู่กับพลังที่ไม่หยุดนิ่งจนอาจนำไปสู่ความคลอนแคลนและการทำลายตัวเองได้

ความโรแมนติกแบบสีส้มส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาก่อนจะพบความมั่นคงและแน่นอน ความโรแมนติกแบบสีส้มบางทีอาจจะเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของมากเกินไป และชอบจะถือสิทธิ์ในเรื่องของความสัมพันธ์ซึ่งเป็นความต้องการที่จะควบคุมสภาพของความโรแมนติกไว้ พร้อมกับหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งที่อาจจะนำพวกเขาเข้าไปอยู่ในหนทางที่ไม่อยากจะไป ความโรแมนติกของสีส้มจะอยู่ก้ำกึ่งระหว่างช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานอย่างยิ่งยวด ความปิติยินดี และความสุขที่สุดขั้ว จนกลายเป็นความสงสารตัวเองหรือความเศร้าใจและความเก็บกด เขาจะพบความสมดุลในความรู้สึกทั้ง 2 แบบนี้ได้ด้วยประสบการณ์เท่านั้นสีส้ม

ในด้านลบอาจจะเป็นการทำลายตัวเองอย่างถึงที่สุด เพราะรู้สึกว่าคนอื่นควรมีส่วนร่วมในความทุกข์และความเศร้าของตนเองด้วย เขาจะพยายามลากคนอื่นมาร่วมทุกข์กันกับเขา ทางรอดของพวกเขา คือการมีความสามารถที่จะลุกขึ้นมาในทันทีที่ล้มลง และแม้จะโกรธง่ายแต่ก็ลืมง่าย และให้อภัยให้โดยง่ายเช่นกัน สีส้มมักจะมองหาคนรักที่เข้มแข็งกว่า ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น ที่จริงแล้วมันคือความปรารถนาภายในที่ต้องการใครสักคนมาช่วยควบคุมตัวเอง เพราะบางครั้งเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะควบคุมตัวเองได้หรือไม่ เขาจะไม่ต้องการคู่ครองที่เก่งกว่าหรืออ่อนแอกว่า แต่ต้องการคนที่สามารถเข้ากับเขาได้โดยต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนไป
สีที่เหมาะสมกับสีส้ม

สีส้มมักจะได้รับความเข้าอกเข้าใจจากสีส้มเฉดอื่นด้วยกัน ทั้งแดงและเหลืองเป็นคู่ที่ไปกันได้อยู่แล้วและเป็นผู้สร้างสีส้ม แต่เรากลับรู้ว่ามันมักจะใช้อารมณ์มากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเลวก็ตาม สีดำเป็นสีที่เหมาะกับสีส้ม เพราะมันสามารถซึมซับพลังงานไว้ได้ ในขณะที่สีขาวแม้จะทำให้พลังงานอ่อนลงได้ แต่ก็เข้ากันไม่ได้ สีฟ้าอาจจะเข้าใจสีส้ม แต่สีเขียวจะไม่เข้ากันเลย สีน้ำตาลสามารถเพิ่มพลังให้สีส้มโดยให้แนวทางและจุดมุ่งหมายแก่มัน ส่วนสีม่วงหมดสิทธิ์ทุกประการ
สีเหลือง

ถ้าคุณเลือกสีเหลืองเป็นสีของความรัก ก็แสดงว่าคุณต้องการหรือชอบการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือรู้จักกระตุ้นความสัมพันธ์ได้อย่างชาญฉลาด ความโรแมนติกแบบสีเหลืองอาจจะเหมือนการเดินทางและการท่องไปทั่วโลก ก่อนจะลงปักหลัก สีเหลืองมักจะได้แต่งงานในที่ซึ่งห่างไกลจากบ้าน หรือแต่งงานกับคนต่างชาติ ในภาวะของโรแมนติกคุณไม่สามารถปกปิดสีเหลืองได้เลย แม้ว่าเขาจะมีแรงกระตุ้นทางด้านสมองมากกว่าร่างกายก็ตาม คุณก็มั่นใจได้เลยว่าจะดีเยี่ยม ไม่ว่าจะสนใจทำอะไร ความโรแมนติกแบบสีเหลืองต้องมีการวางแผน แล้วดำเนินตามแผนจนบรรลุจุดมุ่งหมาย การควงคู่กันจะนานกว่าจะลงเอยกันได้ แต่ก็จะไม่เบื่อหน่ายต่อกัน

ความโรแมนติกแบบสีเหลืองมักจะเล่าให้ฟังถึงเรื่องต่างๆ ที่ปรารถนาให้คุณได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย และนานมากกว่าคุณจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในลู่ของการแข่งขัน สีเหลืองต้องการควบคุมอารมณ์ไว้ให้ได้จนคุณอาจจะไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงเลย เว้นแต่ว่าจะมีเวลาและความอดทนมากพอจะค้นหาสิ่งที่สีเหลืองต้องการจะแสดงออกมาจริงๆ

ความโรแมนติกของสีเหลืองจะดีที่สุดเมื่ออยู่ในสายตาของสาธารณะ ด้วยความที่อยากจะแสดงให้ใครๆ เห็นว่าเขาประสบความสำเร็จ ทั้งในเรื่องความรักและเรื่องงาน สีเหลืองมักจะแต่งงานโดยได้พบคนถูกใจในขณะเดินทาง หรือทำงาน และถ้าทั้งสองอย่างรวมกันได้ก็จะดีมากยิ่งขึ้น สีเหลืองในด้านลบจะเข้มงวดมากกับความรัก โดยคิดว่าตนเองเป็นดวงอาทิตย์ที่ส่องอยู่เหนือผู้คนและนำเอาแสงสว่างกับชีวิตมาให้ ความรักของสีเหลืองต้องการยกย่องทุกครั้งที่เขาแสดงความกรุณาต่อคุณ สีเหลืองสามารถนำชีวิตให้แก่ที่พักกลางทะเลทราย ซึ่งความตรงข้ามชนิดสมบูรณ์แบบนี้เราสามารถจะเกี่ยวข้องด้วยได้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้ให้หรือผู้รับก็ตาม
สีที่เหมาะกับสีเหลือง

สีแดงและส้มสามารถทำให้สีเหลืองสมบูรณ์แบบได้ แต่ก็มักจะนำบางอย่างออกไป ขณะที่สีขาวจะเป็นคู่ที่ไปกันไม่ได้เลย สีชมพูสามารถจะเข้าก็ได้กับทุกสีเว้นสีเหลือง สีเขียวกลับรักที่จะเติบโตอยู่ใต้การนำของสีเหลือง สีฟ้าคือสีที่สีเหลืองแสวงหา เพื่อสร้างความเข้าใจและจะเป็นคู่ที่เหมาะสมมาก สีน้ำตาลก็เข้ากับสีเหลืองได้ดีกว่าสีอื่น โดยจะสร้างการเจริญเติบโตและความมั่นคงให้ สีม่วงและสีเหลืองต่างก็ไม่ใช่คู่ที่ดีที่สุดหรือเลวที่สุด เพราะต่างก็เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางความคิด แต่ในเรื่องของวัตถุและจิตใจก็จะเข้ากันไม่ได้ สีดำสามารถดูดซึมมทุกสิ่งที่สีเหลืองโยนมาให้ แต่ไม่เคยตอบสนองให้เพียงพอเลยตามความรู้สึกของสีเหลือง
สีเขียว

ถ้าเลือกสีเขียวเป็นสีของการแสดงความโรแมนติก ก็แสดงว่าคุณกำลังมองหาความสัมพันธ์ที่สมดุล เมื่อคุณเลือกสีเขียวเป็นสีของความโรแมนติกคุณก็กำลังบอกถึงความปรารถนาที่จะออกไปจากสนามรักแล้วปักหลักอย่างคนอื่นๆ คนส่วนมากที่เลือกเอาสีน้ำตาลอาจจะเคยหย่าร้างมาแล้ว หรือพบกับความเจ็บปวดจากความรักในอดีต ซึ่งเขากำลังพยายามสลัดมันทิ้งเพื่อตั้งตัวใหม่ สีเขียวคือสีที่ช่วยให้เกิดการเจริญเติบโตและขยายตัวออกไป ดังนั้นสีเขียวจึงต้องการจะกางปีกออกและหาความสนุกที่เขารู้สึกว่าขาดมันไปในอดีตที่ผ่านมา

สีเขียวมักจะตั้งอกตั้งใจฟังปัญหาของคู่ครองด้วยความสงสาร เพราะรู้สึกว่าเขาก็มีส่วนร่วมด้วย ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามเขาจึงพยายามแบ่งเบาความทุกข์ของคู่ครองด้วยประสบการณ์ที่เคยพบมา ความเป็นกลางของสีเขียวทำให้มันให้สิทธิพิเศษกับความคิดของคู่รัก ด้วยเหตุที่คนรอบข้างไว้ใจมันนั่นเอง

ในด้านลบมันกำลังพยายามจะหลุดพ้นออกจากช่วงเวลาของการรักษาตัวเองอยู่ และยังคงเป็นคนที่มีอารมณ์มั่นคงกับคนรักเสอม รวมทั้งต้องการความมั่นใจอยู่เสมอว่า สีเขียวในด้านบวกจะสละให้อย่างง่ายดาย ถ้าคู่ของคุณเลือกสีนี้ คุณก็จะมีคู่ครองที่จะจงรักภักดีตลอดกาล ชีวิตคู่ซึ่งถ้าให้ความไว้วางใจและความมั่นใจว่าคุณจะทำสำเร็จได้ในที่สุด ก็จะกลับถูกคุณนั่นเองไม่ยืนยันความมั่นใจด้วยความโง่ทึบและเบาปัญญา ความรักของสีเขียวสามารถจะให้อภัย และลืมความไม่ยุติธรรมนั้นเสีย แต่อย่าให้เขาได้พบมันเลยจะดีกว่า คุณสามารถจะผลักเขาโดยแรงได้ แต่เขาอาจจะบั่นทอนความมั่นคงของคุณ ในการแสวงหาผู้ที่จะพึงพอใจในความพยายามของเขา
สีที่เหมาะกับสีเขียว

น้ำเงินกับเขียวไม่ควรอยู่ร่วมกัน แต่จริงๆ แล้ว 2 สีนี้ช่วยเหลือกันได้อย่างดี โดยมีสีเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของสีเขียว อีกทั้งยังเข้ากันได้แม้จะไม่มากนักก็ตาม สีแดงจะคอยรบกวนสีเขียวด้วยความต้องการการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ในขณะที่สีชมพูสามารถจะตอบสนองความต้องการของสีเขียวได้ สีเขียวเติบโตมาจากสีน้ำตาล แต่สีม่วงมีจิตใจที่สูงเกินกว่าที่สีเขียวจะเข้าใจ สีขาวอาจทำให้สีเขียวอ่อนลงจนผิดไปจากสีเดิม แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคู่ที่เลวอะไรนัก สีเขียวควรอยู่ห่างๆ สีส้มทุกเฉดไว้เสมอ
สีฟ้า

สีฟ้าคือสีของอารมณ์รุนแรงเมื่อเกี่ยวกับความรัก และผู้ที่เลือกสีนี้จะต้องการความสัมพันธ์ที่สร้างความมั่นใจทางอารมณ์ได้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นสีฟ้าจะไปหามันจากที่อื่นเพื่อทำให้ตัวเองเกิดความมั่นใจ ในจำนวนสีต่างๆ สีฟ้าคือสีหนึ่งที่ชอบอยู่บ้าน และหาความสุขให้ตัวเอง สีฟ้าจะช่างจินตนาการ แม้จะเป็นคนรักที่ไม่มั่นคงก็ตาม เขาต้องการการตอบสนองและการแสดงออกทางอารมณ์ของคู่ครองโดยการกอดรัด จุมพิต และทำให้เขามั่นใจ

สีฟ้าในด้านบวกจะซื่อสัตย์มาก รวมทั้งจะไม่ให้อภัยคนรักที่นำเอาความไว้วางใจที่เขามอบให้ไปใช้ในทางที่ผิด สีฟ้าในด้านลบจะไม่เคยมั่นใจว่า ได้คนรักที่เหมาะกับตนเองแล้ว และไม่เคยหยุดการมองหาหรือเลิกการทดสอบคนที่เขาจงรักภักดีเลย สีฟ้าชอบที่จะอยู่กับคนรักได้นานตลอดคืน เพราะเชื่อว่าคนที่เขาอยู่ด้วยมีความสำคัญมากกว่าสถานที่ พวกนี้จะเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงจนสีอื่นๆ รู้สึกถึงความยากลำบากในการตอบสนองด้วยความรุนแรงที่เท่าเทียมกันได้ สีฟ้าเป็นคนช่างฝันมาก แม้ว่าจะเป็นสิ่งดีสำหรับบางสถานการณ์ แต่ในด้านลบมันจะกลายเป็นการทำลายอย่างมากมาย เพราะความกลัวของสีฟ้าในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น สามารถหยุดยั้งเขาจากความสนุกสนานที่ควรได้รับ

สีฟ้ามีความสามารถในการให้เมื่อจำเป็น และในช่วงเวลาที่กำลังมีปัญหานานตราบที่แน่ใจว่าผู้รับมีคุณค่าพอกับสิ่งที่จะให้ และมันจะได้รับรางวัลจากความพยายามนั้น สีฟ้าในด้านลบของความโรแมนติกคือการเห็นแก่ตัว เพราะต้องการความสนใจอย่างสม่ำเสมอและมั่นใจว่า ได้เลือกคนรักที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งสิ่งนี้จะขัดขวางไม่ให้มันประสบควมสำเร็จอย่างแท้จริงในสิ่งที่ลงมือทำ ความโรแมนติกของสีฟ้า ส่วนมากมักจะเป็นพ่อและแม่ที่ดีเยี่ยม เพราะต้องการให้ทุกสิ่งที่มีอยู่แก่ลูกซึ่งเขารู้สึกว่าเขาขาดมันไปเมื่อยังเป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นของขวัญ หรือความมั่นคงทางอารมณ์ สีฟ้ามักจะขาดความมั่นคงและปราศจากเหตุผลในบางเวลา จึงต้องการพัฒนาความเข้าใจจากคนรักเมื่อทำได้มันก็จะกลายเป็นพื้นฐานสำหรับความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะต้องประสบกับความยากลำบากเพียงไร
สีที่เหมาะกับสีฟ้า

สีที่เหมาะกับสีฟ้ามากที่สุดคือสีเขียว สีแดงก็อาจจะดีถ้ามันไม่รุกเร้าเขามากจนเกินไป และสีม่วงก็เข้ากันได้กับสีฟ้าเกือบทุกเฉด เพราะความสามารถทางจิตใจที่จะเข้าใจกันและกัน สีดำจะสามารถดูดซับเอาความสงสารตัวเองออกมาจากสีฟ้า แต่สีขาวเป็นสีที่ควรจะหลีกเลี่ยงด้วย เหตุที่มันจะทิ้งความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวไว้ให้ สีส้มจะกอบโกยจากสีฟ้าและเข้ากันไม่ได้ แต่สีน้ำตาลสามารถให้ความมั่นคงทางอารมณ์กับสีฟ้าได้ในการขยายตัวออกไป
สีน้ำตาล

ดินสีน้ำตาลในธรรมชาติอาจจะดูแห้งแล้งและโล่งเตียน และรอคอยเวลาที่จะแตกออกเป็นสีต่างๆ เมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะสม ความรักของสีน้ำตาลก็เช่นเดียวกัน คือต้องการความมั่นคงทางการเงิน ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองตกหลุมรัก สีน้ำตาลส่วนมากจะมั่นใจในตัวเอง เพราะมันเป็นสีที่เรียนรู้ได้ดีที่สุดจากความผิดพลาดของคนอื่นมากกว่าของตนเอง และชอบที่จะทำในสิ่งที่มั่นใจมากกว่าจะเสี่ยง ความโรแมนติกแบบสีน้ำตาลจะมีความมั่งคั่ง และความสุขอย่างล้นเหลือที่จะมอบให้กับคนรัก เพราะเขาจะให้ความเท่าเทียมกันดังที่ค้นหา

แต่เขามักจะหาคนแบบเดียวกันและชอบความสงบสุขจนกว่าจะแก่ตัวเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มหาทุกสิ่งที่คิดว่าตนเองไม่เคยพบในอดีตเพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา ในด้านลบอาจจะเป็นคนบ้างาน พยายามจะหาความมั่นคงทางการเงินรวมทั้งความสำเร็จ แต่จะไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้รับ เขารู้สึกว่าควรจะได้รับมากกว่านี้ก่อนปักหลักกับใคร ซึ่งอาจจะหมายความว่าเขาไปไม่ทันเรือออก สีน้ำตาลของความโรแมนติกต้องการเรียนรู้ว่า การทำงานหนักเกินไปจะทำให้เป็นคนรักที่ไม่เอาไหน เขาอาจจะตั้งใจสร้างบ้านและชีวิตตามความฝัน แต่อาจจะไม่ออกมาเดินเล่น เพราะถูกงานห่อหุ้มตัวไว้

สีน้ำตาลจะใจกว้างมาก และเป็นคู่ที่คอยห่วงใย ถ้าได้พบสิ่งที่กำลังมองหาก็จะไม่มีสิ่งใดที่เขาจะไม่มอบให้คนรักของเขา สีน้ำตาลจะเป็นตัวของตัวเองในช่วงกลางวัย 30 เมื่อสร้างรากฐานให้ตัวเองแล้ว และสามารถจะสนใจพลังมหาศาลของตนเองในเรื่องของความรัก สีน้ำตาลมักจะบรรลุวุฒิภาวะมากกว่าเพื่อนทุกคน แต่อารมณ์อาจจะยังเป็นเด็กอยู่ มันจึงเป็นความฝันของเด็กๆ ว่าความโรแมนติกแบบสีน้ำตาลจะต้องทำงานหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
สีที่เหมาะกับสีน้ำตาล

สีน้ำตาลจะเข้ากับสีเหลืองได้ เพราะต่างก็มีความทะเยอทะยานและมีกระบวนการทางความคิดเหมือนกัน สีแดงมักจะทำให้สีน้ำตาลลำบาก แต่อาจจะเข้ากันได้ในเรื่องที่ออกจะผิดปกติสักหน่อย สีดำจะรับทุกสิ่งที่สีน้ำตาลให้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย แต่สีขาวจะต้องการความสนใจมากกว่าที่คิดว่าสีน้ำตาลจะให้ได้ สีเขียวเติบโตมาจากสีน้ำตาล และมักจะให้คำแนะนำตอบแทนไป จึงเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่าจะเป็นคู่รัก สีส้มอาจจะดีหรือเลวก็ได้ ส่วนสีฟ้าปานกลาง
สีม่วง

เมื่อสีม่วงเป็นสีของความโรแมนติก มันจะเข้ากันไม่ได้กับสังคมที่เราอาศัยอยู่ เพราะเป็นสีของปรัชญาและจิตใจที่สูงส่งกว่า สีนี้น่าจะเป็นสีของคนรักหนังสือ ความดีหรือความคิดของคนใจบุญมากกว่าจะลุ่มหลงในร่างกาย ถ้าคุณเลือกสีม่วงเป็นสีของความโรแมนติก คุณจะมีความสุขกับการอยู่คนเดียวมากกว่าจะอยู่ร่วมกับคนอื่น

ด้านบวกของสีม่วงก็คือ พรหมจรรย์ ความบริสุทธิ์ ความห่วงใยและความเมตตา ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่นับถือศาสนามากกว่าคนส่วนใหญ่ ด้านลบของสีม่วงคือ การใช้พลังของสีแดงเป็นรากฐานในการสร้างความพอใจ และความทะเยอทะยานอยากให้กับตนเอง โดยไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด และรู้สึกว่าทำถูกแล้วนั้นจะเป็นกรณีเดียวกับคนที่เรียนรู้จากความสุขของเพื่อนฝูง ใครๆ อาจจะทนไม่ได้ แม้ว่าปัญหาจะมาจากความเก็บกดก็ตาม ความโรแมนติกแบบสีม่วง ถ้าแสดงออกในลักษณะนี้มักจะเป็นผู้ทำแต่ความดี โดยสละความต้องการของตนเอง เพื่อสนองความต้องการของคนรอบข้าง ซึ่งไม่น่าจะเป็นสีของการสร้างความสัมพันธ์ทางกาย

ถ้าคุณเลือกสีนี้ คุณควรจะอยู่ห่างจากความรับผิดชอบด้านความสัมพันธ์กับคนอื่น และควรแต่งงานโดยไม่ต้องทำพิธีใดๆ ความโรแมนติกแบบสีม่วงยังไม่เกิดขึ้นมาในโลกที่เรารู้จักและอาศัยอยู่และดีที่สุด ถ้าทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังในการแก้ปัญาและอธิบายจะดีกว่าถ้าเขาทำได้
สีที่เหมาะกับสีม่วง

สีแดงและสีน้ำเงินรวมตัวกันเป็นสีม่วง ดังนั้นถ้ามันถูกเลือกก็จะเป็นสัดส่วนที่แทบจะหาความดีไม่ได้ สีดำมีด้านที่ปกปิดอยู่มากมายแต่ก็อาจจะเข้ากันได้ สีขาวมีความสามารถจะลดอุดมคติอันสูงส่งลงมาได้ แต่ในความคิดของเราถ้าคุณเลือกสีนี้ คุณจะไม่มีความพอใจกับความรักของคุณเลย และจะพยายามหาแนวทางใหม่เพื่อการสร้างหรือซ่อนเร้นความรู้สึกในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคุณ
สีดำ

ความโรแมนติกแบบสีดำอาจจะหมายความว่า ผู้เลือกมีบางสิ่งต้องปกปิดโดยไม่ให้คนรักได้รู้ เช่น อาจจะต้องการเย้าแหย่คนอื่น เพื่อให้เขาเห็นว่าตนเองยังอยู่ ความโรแมนติกแบบสีดำมีความปรารถนาจะมีประสบการณ์ในทุกสิ่งที่โลกเสนอมา และต้องการให้ผู้อื่นนำทางให้ อย่าหลงเชื่อกับความโรแมนติกของสีดำซึ่งอาจจะร่าเริงเหมือนรุ่งเช้าของฤดูร้อน หรืออ้างว้างเยือกเย็นเหมือนพายุในฤดูหนาว

ความโรแมนติกแบบสีดำ คือการหาคำตอบให้กับสิ่งที่ข้องใจและต้องการรู้ แต่ต้องการจะรู้จักมันโดยผ่านทางประสบการณ์ของคนอื่นจนไม่สามารถไว้ใจความคิดเห็นของตัวเอง ความโรแมนติกแบบสีดำจะค้นหาตัวเอง แม้จะสามารถเกี่ยวข้องกับคนอื่นได้ก็ตาม เขาก็จะได้ในสิ่งที่เขาเคยได้ไม่มากไปกว่านี้และบางทีอาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ

สีดำจะอยู่ระหว่างการค้นหาตัวเองและจะหาไม่พบจนกว่าจะรู้จักอยู่ร่วมกับคนอื่นเสียก่อน บางทีสีดำก็เป็นสีของความรู้สึกทางเพศ แต่เรื่องเพศที่จริงแล้วเป็นเพียงผิวตื้นๆ และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์เท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกส่วนหรือเป็นบทสรุปของมันที่เอาเรื่องเพศไปเกี่ยวข้องกับสีดำก็เพราะเรามักจะปกปิดหรือยับยั้งการกระทำในสิ่งที่ธรรมชาติให้มา การมีส่วนร่วมในความรู้สึกทางเพศอย่างสมบูรณ์และเป็นอิสระกับคนรัก คือทางออกเพียงทางเดียวที่เราจะหลุดออกจากชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ได้ ซึ่งเป็นชีวิตของสีดำ ส่วนมากความโรแมนติกแบบสีดำชอบจะมองดูตัวเองเหมือนการล่าสัตว์ จากจุดนี้เองที่มันจะสามารถยอมรับในสิ่งที่มันเป็นอยู่ แทนที่จะยอมรับในสิ่งที่คนอื่นอยากให้มันเป็น
สีที่เหมาะกับสีดำ

สีดำคือตัวนำสีทั้งหมดมาและสามารถจะสัมพันธ์กับทุกสีได้ในทุกระดับ แต่สีร้อนเช่น ชมพู เหลือง และแดงจะให้ความตื่นเต้นแก่สีดำมากกว่าที่มันกำลังแสวงหา ฟ้าและเขียวจะช่วยเยียวยาบาดแผลของสีดำรวมทั้งสร้างมันขึ้นมาใหม่ด้วย แต่สีน้ำตาลจะไม่เข้ากับสีอื่นได้ดีเท่ากับในด้านความรัก ที่เกิดจากความเกี่ยวข้องทางธุรกิจ สีขาวจะเปลี่ยนสีดำให้เป็นเทา ซึ่งทำให้มันผูกมัดตัวเองเร็วเกินไป สีม่วงจะช่วยให้สีดำเข้าใจเหตุผลของมันได้



ที่มา :
www.kapook.com