วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนังสือ




เส้นทางของหนังสือ
ก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์รู้จักวิธีการเขียนหนังสือลงบนกระดาษที่เรียกว่า “ Papyrus ” และทำเป็นเล่มโดยการม้วนในลักษณะที่เรียกว่า“ Volumen ” ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นคำว่า “ Volume ” หนังสือลักษณะนี้ เล่มที่เก่าแก่ที่สุดคือ “ The Great Harris Papyrus ” ( ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ประเทศอังกฤษ ) มีความยาวของม้วน 133 ฟุต และหน้ากว้าง 16 ¾ นิ้ว เป็นหนังสือที่ระบุเวลาไว้ว่า เป็นปีที่ 32 ของกษัตริย์รามเสส ที่ 3




และเมื่อชาวจีนรู้จักการนำผ้าไหมมาใช้งาน ได้มีการเขียนหนังสือลงบนผ้าไหมเมื่อราว 400 ปี ก่อนคริสตกาล ทำเป็นเล่มในลักษณะม้วนเหมือนกับอียิปต์ และหลังจากที่จีนคิดกระดาษขึ้นใช้ใน ค.ศ. 105 การทำหนังสือก็ยังใช้ลักษณะเป็นม้วนเช่นเดิม หนังสือของจีนที่พิมพ์ด้วยบล็อกไม้ และมีหลักฐานคงเหลืออยู่คือ ชิ้นพิมพ์วัชรสูตร เป็นม้วนกระดาษยาว 16 ฟุต กว้าง 1 ฟุต มีวันที่พิมพ์ และชื่อผู้พิมพ์ปรากฏในหนังสือว่า “ พิมพ์เมื่อ วันที่ 1 พฤษภาคม 868 โดย วางชี ” สำหรับแจกทั่วไปเพื่อเป็นที่ระลึกถึง บิดามารดา นับว่าเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งก็มีลักษณะเป็นม้วน
แต่ชิ้นพิมพ์ที่เก่าที่สุดที่มีลักษณะเป็นชิ้นพิมพ์ที่พบที่ญี่ปุ่น เป็นการพิมพ์ยันต์และคาถา จัดพิมพ์ขึ้นโดยโองการของจักรพรรดิ โชโตกุ เพื่อแจกในปี ค.ศ. 770




ก่อนที่จีนจะรู้จักการใช้ผ้าไหมและกระดาษ การเขียนหนังสือจะเขียนลงบนไม้ไผ่ ทำเป็นเล่มหนังสือโดยเจาะรูร้อยเชือกไว้เป็นมัดๆ การทำเล่มหนังสือในลักษณะนี้ทำขึ้นในราวประมาณ 500 ปี ก่อนคริสตกาล
อินเดียก็มีการทำเล่มหนังสือโดยใช้วิธีจารลงบนใบลาน แล้วจึงเจาะร้อยเชือกเป็นเล่มในลักษณะคัมภีร์พระเทศน์ ที่ยังคงมีใช้กันในปัจจุบันนี้ หนังสือใบลานลักษณะนี้ใกล้เคียงกับสมัยพุทธกาล คือในราว 500 ปี ก่อนคริสตกาล
ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกเขียนหนังสือแล้วใช้แผ่นไม้ 2 แผ่น มีห่วงโลหะยึดให้ติดกันไว้ตรงกลาง มีลักษณะคล้ายกับเล่มหนังสือ ต่อมาในปี ค.ศ. 950 ชาวจีนเป็นผู้ริเริ่มดัดแปลงรูปเล่มหนังสือก่อนชาติอื่น เนื่องจากการใช้หนังสือที่มีลักษณะเป็นม้วน ทำให้ขาดความสะดวกในการค้นคว้าหรืออ้างอิงในส่วนกลางๆ ของเล่ม เพราะจะต้องหมุนม้วนไปจนถึงบริเวณที่ต้องการ ทำให้เสียเวลา จึงได้คิดค้นทำหนังสือให้เป็นลักษณะหนังสือพับ ( Folder book ) คือพับไปพับมามีลักษณะคล้ายสมุดข่อยของไทย ทำให้เกิดความสะดวกในการค้นคว้า จะเปิดอ่านตอนไหนของเล่มก็สะดวกและรวดเร็ว
ปี ค.ศ. 1116 จีนเริ่มรู้จักเย็บเล่มหนังสือพับด้วยเชือก โดยเย็บทางด้านข้างให้ติดกับด้านหนึ่งและเปิดอ่านอีกด้านหนึ่ง กระดาษที่จีนทำด้วยมือในระยะแรกๆ จะเป็นกระดาษบาง ตัวหนังสือเขียนด้วยพู่กันและหมึกที่มีตัวนำเป็นน้ำ ทำให้กระดาษเขียนได้หน้าเดียวคือเขียนลงบนกระดาษแล้วพับกลาง ให้ด้านที่เขียนหนังสืออยู่ข้างนอก แล้วเรียงลำดับซ้อนกันและเย็บติดกันตรงสันซึ่งเป็นด้านปลายกระดาษ ด้านพับจึงเป็นด้านริมของหนังสือที่เปิดได้ นับว่า จีนเป็นผู้คิดหนังสือเย็บเล่ม ( Stitch book ) เป็นชาติแรก และชาติอื่นๆ จึงได้นำมาเลียนแบบ
ในยุโรปมีการคิดทำ Parchment ( หนังสัตว์ที่ฟอกแล้ว ) มาใช้สำหรับเขียน และมีการทำหนังสือโดยการเขียนด้วยมือ พระและบาทหลวงตามวัดต่างๆ ได้ผลิตหนังสืออกมาเป็นจำนวนมาก โดยใช้วิธีการเขียนหนังสือคัดตัวบรรจงอย่างสวยงาม มีการใส่กนกลวดลาย ภาพประดิษฐ์ต่างๆ ในหน้าหนังสือ และระบายสีอย่างงดงาม เรียกหนังสือนี้ว่า “ Illuminated book ” มีการทำปกแข็งด้วยหนังและโลหะ แล้วเย็บเป็นเล่มให้เปิดได้ด้านหนึ่ง มีลักษณะคล้ายหนังสือในปัจจุบันนี้ แต่มีขนาดตัวเล่มใหญ่มาก ส่วนใหญ่ต้องตั้งอ่านบนโต๊ะ
จนถึงปี ค.ศ. 1499 Aldus Manutius ซึ่งเป็นช่างพิมพ์ชาวเวณิช ในอิตาลี ได้จัดทำตัวพิมพ์ให้มีขนาดเล็กลง และผลิตหนังสือให้มีลักษณะรูปเล่มและขนาดหนังสือเท่ากับหนังสือที่ใช้กันในปัจจุบัน สำนักพิมพ์ของเขาคือ Aldine Press ซึ่งมีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ทำให้มีผู้นิยมอ่านหนังสือกันอย่างแพร่หลาย แต่รูปเล่มของหนังสือยังขาดความประณีตสวยงาม เพียงให้มีลักษณะเป็นเล่มเท่านั้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1888 William Morris ได้ตั้ง Kelmscott Press ขึ้นที่ประเทศอังกฤษ และได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการผลิตหนังสือ โดยให้มีการออกแบบและวางรูปเล่มอย่างเป็นศิลปะที่จะต้องทำด้วยความประณีตและ รอบคอบ ดังนั้นความคิดต่างๆ ในการออกแบบ การจัดวางรูปเล่ม และการจัดพิมพ์หนังสือ จึงเกิดได้ขึ้นอย่างแพร่หลาย ทำให้มีผู้สนใจศึกษากันมากยิ่งขึ้นจนถึงปัจจุบันนี้

หนังสือของไทย
ประเทศไทยมีแบบฉบับหนังสือเป็นของตนเองมานาน ตั้งแต่โบราณกาล โดยการใช้วัตถุดิบของท้องถิ่นที่มีในธรรมชาติ ประดิษฐ์เล่มหนังสือ อาทิ ใบไม้ เปลือกไม้และเยื่อไม้ เป็นวัสดุรองรับในการเขียน ใช้อินทรีย์วัตถุ เช่น ดิน หิน - แร่ธาตุ เป็นหมึกและสีสำหรับบันทึกตัวอักษรและวาดภาพ เพื่อใช้สำหรับบันทึกเรื่องราวทางศาสนา ตำรา จดหมายเหตุ วรรณคดี ตลอดจนภาพจิตรกรรมต่างๆ หนังสือของไทยจึงนับเป็น วิทยสมบัติที่สะท้อนให้เห็นถึง ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศาสตร์และศิลป์ของชาติไทย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น