วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชื่อเสียงเรียงนาม

"...คนชื่อเฮง มากมีก็ยังซวย คนชื่อสวย ยังบ่งามเลยนี่ คนชื่อรวย ฮ่วยเงินบ่มี คนชื่อดี ยัง บ้า บ้า บ๊อง บ๊อง...” ส่วนหนึ่งของบทเพลงนี้อาจทำให้ฉุกคิดได้ว่า “ชื่อ” บ่งบอกอะไรได้มากมายหลายอย่าง บางคนก็เป็นอย่างที่บทเพลงกล่าวถึง แต่บางคนกลับเป็นไปตามชื่อของตนอย่างไม่น่าเชื่อ!! อย่างที่โบราณกล่าวไว้ว่า “เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” คงไม่มีใครอยากตั้งชื่อที่ไม่เป็นมงคลให้กับตนเองหรือคนที่คุณรัก ส่วนใหญ่ล้วนปรารถนาในชื่อที่มีความหมายที่ดี นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง มั่งมี ศรีสุข ให้กับชีวิตกันทั้งนั้น

ความเชื่อเรื่องการตั้งชื่อเกิดขึ้นในสังคมของมนุษย์มานับร้อย ๆ ปีแล้ว เพราะคนเราทุกคนจำเป็นต้องมีชื่อหรือนามใช้เรียกขาน สื่อสารกับผู้อื่นเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าใครติดต่อกับใคร หรือว่ากำลังพูดกับใครอยู่ เป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต“ชีวิตของคนไทยมีความผูกพันกับการตั้งชื่อมายาวนาน เริ่มตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย เพราะเป็นช่วงที่คนไทยเริ่มมีการรวมตัวกันเป็นชาติและที่สำคัญพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมาโดยการนำรูปแบบมาจากอักษรขอมโบราณ”

หลักการตั้งชื่อก็เพื่อความเป็นสิริมงคล มีความหมายที่ดี เช่น อัจฉรา แปลว่า นางฟ้า หรือ ศักดา แปลว่า ผู้สูงศักดิ์ เป็นการตั้งชื่อตามความหมาย รวมไปถึงศักดินาต่าง ๆ ราชทินนาม หรือนามที่ได้รับพระราชทานของเจ้าพระยา พระยา หมื่น กรม ก็เช่นเดียวกัน


นับตั้งแต่สมัยอยุธยาจนต้นรัตนโกสินทร์ สามัญชนไทยตั้งชื่อลูกกันง่ายๆ พยางค์เดียวหรืออย่างมากก็ไม่เกินสองพยางค์ อย่างทอง ขำ แจ่ม เอี้ยง ฉิม อิน จัน หรือทองอิน บุญมา โดยมากชื่อเหล่านี้จะใช้ได้ทั้งหญิงและชาย มีซ้ำกันมากมาย ส่วนชื่อยาวและไพเราะมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต มักอยู่ในพระนามของเจ้านายเป็นส่วนใหญ่ ความนิยมตั้งชื่อยาวๆ ไพเราะเพราะพริ้งในหมู่คนธรรมดาที่ไม่ใช่เจ้านายเริ่มในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ และ ๗ ชื่อคนไทยเริ่มยาวขึ้นเป็นสองพยางค์ ถือว่าเก๋ทันสมัยกว่าคนรุ่นพ่อแม่ อย่างชื่อของลูกๆแม่พลอยคือ ประพนธ์ ประพันธ์ ประพัทธ์ และประไพ นอกจากนี้ก็มีชื่ออย่างสมใจ วิมล ยุพา อำนวย แล้วมาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในยุค '' วัธนธัม ''พ.ศ. ๒๕๘๒ ที่รัฐกำหนดให้ผู้ชายและผู้หญิงมีชื่อเหมาะสมกับเพศของตน

มาในสมัยกรุงศรีอยุธยา รูปแบบที่นิยมตั้งชื่อมีอยู่ 3 ลักษณะ ด้วยกัน แบบแรกยังเป็นการตั้งชื่อ โดยมีความหมายที่ดี ส่วนแบบที่ 2 คือ การตั้งชื่อโดยการแก้ดวง หรือการตั้งเสริมดวง เช่น เมื่อตรวจดวงชะตาแล้วคนนั้นอายุสั้นจะตั้งชื่อให้มีอายุยาว เป็นคนอ่อนแอก็ต้อง ตั้งให้เป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง หรือดูจากท่าทางแล้วเป็นคนซนหยาบกระด้างก็จะตั้งชื่อให้มีความหมายเป็นคนสุภาพ ถ้าผู้หญิงที่ดูกระโดกกระเดกจะตั้งชื่อให้แปล ว่าเป็นคนอ่อนช้อย เป็นผู้มีกิริยามารยาทงดงาม สุดท้าย การตั้งชื่อตามอาชีพของพ่อแม่ หรือตามลักษณะของวงศ์ตระกูลของบรรพบุรุษ เช่น พ่อรับราชการเป็นทหาร มีลูกชายก็จะตั้งชื่อว่า กล้าศึก ชาติชาย ฯลฯ

โดยในส่วนของการตั้งชื่อในลักษณะแก้ดวงหรือเสริมดวงนั้น ยังแบ่งได้อีกว่า เมื่อตรวจดูดวงชะตาแล้วไม่ดี ก็มักนิยมหาชื่อที่ตรงกันข้ามหรือที่มีความหมายที่แก้ดวงนั้นมาตั้งชื่อ อีกวิธีหนึ่งที่นิยมกัน คือ การเปลี่ยนชื่อโดยใช้หลักตำราทักษาปกรณ์ ตำราทักษาปกรณ์ หรือ ตำรามหาทักษา ที่เรียกอีกชื่อว่า อัฏฐเคราะห์ เป็นตำราโบราณมาจากอินเดีย แรกเริ่มนิยมใช้ตั้งฉายาพระสงฆ์เมื่อบวช ตำรานี้ มีหลักอยู่ว่าการตั้งชื่อคนควรให้สอดคล้องกับสิริมงคล 7 อย่าง คือ บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี และหลีกเลี่ยงสิ่งไม่ดี 1 อย่าง คือ กาลกิณี โดยเอาวันเกิดของเจ้าชะตาเป็นหลักในการตั้งชื่อ เช่น วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร เป็นต้น แล้วมากำหนดตัวพยัญชนะ ที่ดีให้กับชื่อ โดยต้องไม่มีตัวกาลกิณี ถ้าเป็นเพศชายควรใช้พยัญชนะในวรรคเดชนำหน้า ถ้าเป็นเพศหญิงควรใช้พยัญชนะวรรคศรีนำหน้าชื่อ

การตั้งชื่อในสมัยก่อนยังเป็นการตั้งชื่อที่มีความหมายที่ดี เรียกง่าย เป็นคำที่ไม่ซับซ้อนเข้าใจง่าย เนื่องจากใน สมัยนั้นประชาชนยังไม่ค่อยมีความรู้ การศึกษายังอยู่เฉพาะในวัดและวังเท่านั้น จึงมักมีพยางค์เดียวหรืออย่างมากก็ไม่เกินสองพยางค์ อย่าง แจ่ม เอี้ยง อิน จัน มั่น หรือทองอิน บุญมา พิกุล ส่วนชื่อยาวที่ไพเราะเพราะพริ้งมาจากภาษาบาลี และสันสกฤต มักเป็นชื่อของเชื้อพระวงศ์ ที่มีบรรดาศักดิ์ เจ้านาย เสียเป็นส่วนใหญ่” จุดมุ่งหมายของการตั้งชื่อเพื่อที่จะทำให้เกิดความมั่นใจ เกิดกำลังใจให้กับตนเอง รวม ทั้งเกิดความมุมานะ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ไปสู่จุดหมายให้สมกับชื่อ ตำราการตั้งชื่อจึงมีการพัฒนาควบคู่กันไปกับการพัฒนาของระบบบริหารราชการแผ่นดิน รวมไปถึงระบบบัญชีรายชื่อต่าง ๆ

มาในปัจจุบัน ประชาชนเริ่มมีความรู้มากขึ้น ความนิยมในการเปลี่ยนชื่อจึงมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน เมื่อมีคนเปลี่ยนชื่อแล้วชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในบางคน จึงเปลี่ยนตามบ้าง ยิ่งถ้าหาก ดารา นักแสดง หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเปลี่ยนชื่อแล้วเห็นได้ชัดเจนว่าดีขึ้น ยิ่งเป็นแรงจูงใจมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงอาจเปลี่ยน เพื่อเอาเคล็ด เปลี่ยนเพื่อให้ฟังง่าย คุ้นหู เรียกง่าย ไม่ได้มีเจตนาอื่น“สมัยนี้พ่อ แม่ นิยมตั้งชื่อที่เป็นมงคล ถูกต้องตามตำรากันตั้งแต่เกิด โดยมีความคิดว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ชื่อ ที่ไพเราะ เป็นมงคล ให้กับลูกที่กำลังจะเกิดมา ทำให้การตั้งชื่อตามหลักทักษาปกรณ์แพร่ หลายมากขึ้นจนมีตำราออกมามากมายอย่างที่เห็นกัน โดยจะสรรหาชื่อที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนคนอื่น มีรูปลักษณ์ทางภาษาที่แปลกหรือมีหลายพยางค์มากกว่าสมัยก่อนที่แสดงลักษณะเด่นของผู้เป็นเจ้าของชื่อ เช่น ออกเสียงแปลก สะกดแปลก เพื่อให้เป็นที่รู้จักและจดจำได้ง่าย สะดุดตา สะดุดหู ทำให้อยากเห็นรูปร่างเจ้าของชื่อ”

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจในชื่อของตนนิยมเปลี่ยนชื่อกัน ซึ่ง ตามกฎหมายพระราชบัญญัติ ชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 ทุกคนสามารถเปลี่ยนชื่อได้ไม่มีกำหนดโดยให้เปลี่ยนได้ตลอด แต่ถ้าหากบุคคลนั้นกระทำความผิดแล้ว มาเปลี่ยนชื่อจะทำได้หรือไม่นั้นสมดี คชายั่งยืน ผอ.สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ให้ความรู้ในเรื่องนี้ว่า สามารถทำได้แต่ถ้านายทะเบียนท้องที่สอบสวนแล้วปรากฏว่า การเปลี่ยนชื่อดังกล่าวเป็นไป โดยเจตนาทุจริตจะใช้ดุลพินิจ ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนได้

ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อไปแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเลขไอดีบุคคล (ID Card) 13 หลัก ที่มีในบัตรประชาชนได้ เพราะคน 1 คนจะมีเลขไอดีบุคคล 13 หลัก เพียงครั้งเดียวคือ ครั้งแรกที่ทำบัตรประจำตัวประชาชน ไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อใหม่อีกกี่ครั้ง ทำบัตรหาย หรือจะเป็นบัตรหมดอายุ ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม เมื่อได้บัตรประจำตัวประชาชนใบใหม่มา เลข 13 หลัก ก็จะยังเป็นเลขเดิมอยู่ รวมทั้งแม้ จะเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่ชื่อเดิมก็ ยังปรากฏอยู่ในฐานข้อมูลทำให้ สามารถตรวจสอบได้ รวมไปถึง คนต่างด้าวที่ไม่ใช่สัญชาติไทย ก็สามารถตรวจสอบได้ เพราะบุคคลเหล่านั้นก็มีเลข 13 หลักเช่นกัน“เลขไอดีบุคคลทั้ง 13 หลักนี้จะไม่มีใครสามารถ เปลี่ยนแปลงได้ เพราะการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนราษฎรของทางกรมการปกครองในระบบงานทะเบียนใช้ระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในองค์กรโดยเฉพาะ ไม่ได้ใช้ร่วมกับระบบอินเทอร์เน็ตทั่วไป ฉะนั้นการแฮกข้อมูลทำได้ลำบาก จะต้องมีเทคนิคที่สูงมาก”

ผอ.สำนักบริหารการทะเบียน เผยว่า จากการสำรวจ ชื่อที่มีคนใช้มากที่สุดคือ สมชาย โดยมีผู้ใช้จำนวน 244,221 คน รองลงมา คือ สมศักดิ์ จำนวน 234,062 คน สมพร จำนวน 218,482 คน สมบูรณ์ จำนวน 173,955 คน และ ประเสริฐ จำนวน 173,367 คน ตามลำดับ

http://www.24thaiplaza.com/artdetail.asp?kid=1605

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น